IT-1RD สิ่งดีดีที่มอบให้คุณ

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิธีเข้า BIOS ที่ตั้ง Password ไว้

สำหรับคุณๆที่มีความจำเป็นที่จะเข้า BIOS เพื่อแก้ Config บ้างตัว เช่น ต้องการบูตจาก CD เป็นตัวแรก แล้วติด Password วิธีง่ายที่สุดก็ให้เปิดเครื่องแล้วเอาถ่าน Backup ที่รูปร่างเหมื่อนกระดุม ออกสักพัก หรือ จัมเปอร์เคลียร BIOS แต่ติดปัญหาคือทำไม่เป็น หรือที่ case มีสติกเกอร์ void ไม่กล้าเปิดกลัวประกันหมดอายุ ให้ใช้วิธีของผมได้ครับ
ให้บูตเครื่องด้วยแผ่น DOS เมื่ออยู่ที่ DOS prompt ให้พิมพ์ดังนี้
กรณีเครื่องใช้ AWARD BIOS
DEBUG กด enter
o 70 2e กด enter
o 71 ff กด enter
q กด enter

กรณีเครื่องใช้ AMI/AWARD BIOS
DEBUG กด enter
o 70 17 กด enter
o 71 17 กด enter

q กด enter กรณีเครื่องใช้ PHOENIX BIOS
DEBUG กด enter
o 70 2e กด enter
o 71 ff กด enter
q กด enter
Restart เครื่องใหม่ แล้วเข้า BIOS มันจะไม่ถาม password อีก

หมายเหตุ DOS ที่ใช้นี้ต้องเป็นการบูตบริสุทธิ (มีแค่ System กับไฟล์ Command) ยกตัวอย่าง คุณมีแผ่นบูต 98 พอคุณบูตเครื่องมันจะมีตัวเลือกให้บูตแบบมี CD กับไม่มี CD คุณไม่ต้องเลือกอันใดเลย ให้กด Shift + F5 มันจะบูต DOS แบบมีแต่ Command อย่างเดี่ยว หาไม่ได้ก็ไปเอาที่นี้ http://bootdisk.com/ มีเพียบ

กำจัดพฤติกรรมไม่พึ่งประสงค์ของไมโครซอฟต์เวิร์ดให้สิ้นซาก

คุณเป็นผู้ใช้ไมโครซอฟต์เวิร์ดคนหนึ่งที่เคยเจอปัญหาต่อไปนี้ไหมค่ะ 1 กดแป้น Enter เพื่อขึ้นย่อหน้าใหม่ หรือกดแป้นเว้นวรรค เวิร์ดกลับภาษาบนแป้นพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษให้ทันที 2 ใส่รูปแล้วพบว่ามีกรอบวาดมาด้วย รำคาญจัง ไม่รู้ว่าจะต้องเอาออกอย่างไร 3 มีเส้นประหยักสีแดงใต้คำ รำคาญตาจัง 4 เปิดเวิร์ดขึ้นมาแล้วเวลาเปิดแฟ้มต้องเสียเวลาเปลี่ยนไปหาโฟลเดอร์ที่เก็บแฟ้มใช้งานบ่อย ๆ 5 พิมพ์ที่อยู่อินเทอร์เน็ต เช่น www.microsoft.com หรือที่อยู่อีเมล์ เช่น microbee@se-ed.net เวิร์ดเปลี่ยนข้อความธรรมดาเป็นไฮเปอร์ลิงก์ทันที 6 กดแป็นแท็บ 2 ครั้ง ทั้งย่อหน้าเยื้องเข้ามาข้างในกระดาษ ต้องเสียเวลากดแป้น Enter แล้วกดแป้น Backspace ทั้ง ๆ ที่ต้องการเยื้องเฉพาะบรรทัดแรก 7 และอื่น ๆ ผู้ใช้หลายคงปวดเศียรเวียนเกล้ากับความฉลาดของโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดรุ่นใหม่ เลยหันไปใช้ MS Word 97 หารู้ไม่ว่าพฤติกรรมน่ารำคาญบางตัวยังปรากฏอยู่ วิธีการกำจัดพฤติกรรมไม่พึ่งประสงค์ของไมโครซอฟต์เวิร์ดให้สิ้นซาก มีดังนี้ค่ะ ยกเลิกกลับภาษาบนแป้นอัตโนมัติ 1 เข้าเมนู Tools --> Options... --> Edit Tab 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Auto-keyboard Switching ออก คลิก OK ยกเลิกการใส่กรอบวาดอัตโนมัติ 1 เข้าเมนู Tools --> Options... --> General Tab 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Automatically create drawing canvas when insert Autoshape ออก คลิก OK ยกเลิกการใส่เส้นหยักสีแดงใต้คำ 1 เข้าเมนู Tools --> Options... --> Spelling & Grammar 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Check spelling as you type ออก คลิก OK ผลพลอยได้ของการยกเลิกการใส่เส้นหยักสีแดงใต้คำ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น กำหนดโฟลเดอร์เริ่มต้นของการเปิดแฟ้มในเวิร์ด 1 เข้า Start -> Documents --> My Documents 2 คลิกเมนู File --> New --> Folder 3 ตั้งชื่อโฟลเดอร์เป็น MS_Word 4 ย้ายแฟ้มที่สร้างด้วย MS Word ซึ่งอยู่ใน My Documents เข้าโฟลเดอร์ย่อย MS_Word ทั้งหมด 5 ปิดโฟลเดอร์ 6 เข้าเมนู Tools --> Options... --> File Locations 7 คลิกที่ My documents ในช่อง File location: 8 คลิกปุ่ม Modify แล้วดับเบิลคลิกที่ MS_Word 9 ตอบ OK ตามกรอบโต้ตอบต่าง ๆ 10 ปิด MS Word แล้วเรียกใช้ MS Word ใหม่ ยกเลิกการใส่ Hyperlink อัตโนมัติ 1 เข้าเมนู Tools --> AutoCorrect Options... --> AutoFormat Tab 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Internet and network paths with hyperlinks ออก คลิก OK ยกเลิกการจัดย่อหน้าด้วยแป้น Tab แป้น Backspce 1 เข้าเมนู Tools --> AutoCorrect Options... --> AutoFormat As You Type 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Set left- and first-indent with tab and ออก คลิก OK ยกเลิกการสลับภาษาของแป้นพิมพ์อัตโนมัติทันทีที่กดแป้น Enter หรือเว้นวรรค 1 เข้าเมนู Tools --> Options... --> Edit 2 เอาเครื่องหมายถูกหน้า Autok Keyboard Switching ออก คลิก OK วิธีการนี้ใช้กับ MS Word 2002 MS Word 2003 นะค่ะ

การเปลี่ยน Phone Pad เป็น Default WM5

"..สำหรับผู้ที่ใช้ Pocket PC Phone อยู่ ก็อาจมีบางครั้งที่อยากจะเปลี่ยน Phone Pad เดิมๆ จากโรงงาน ให้เป็น Phone Pad WM5 แบบดั้งเดิม เพื่อที่จะสามารถ Customize Phone Pad ได้เอง ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ค่ะ.."

ภาพก่อน
ภาพหลัง สำหรับผู้ที่ใช้ Pocket PC Phone อยู่ ก็อาจมีบางครั้งที่อยากจะเปลี่ยน Phone Pad เดิมๆ จากโรงงาน ให้เป็น WM5 แบบ ดั้งเดิม เพื่อที่จะสามารถ Customize Phone Pad เองได้นะคะ วิธีการทำมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ 1. ให้ใช้ Registry Editor ใดก็ได้ค่ะ แนะนำ PHM Registry Editor เพราะเป็นฟรีแวร์ค่ะ
ดาว์นโหลดที่นี่
http://www.phm.lu/Products/PocketPC/RegEdit/ 2. เข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE > Security > Phone > Skin
3. จากนั้นให้เปลี่ยนค่า
Value name : Enabled Value data : 1 ให้เป็น 0 (1 เป็น 0 จะเป็น WM5 Default หากต้องการให้เหมือนเดิมก็เปลี่ยนจาก 0 เป็น 1) 4. จากนั้นให้เลือก Tools > Exit
5. ทำการ Soft Reset 1 ครั้ง
เรียบร้อยแล้วค่ะ เราก็จะได้ Phone Pad แบบเดิมๆ ของ WM5 แล้วค่ะ

QuickMenu

มาสร้างเมนูเรียกโปรแกรมต่างๆในเครื่องด้วยโปรแกรมเล็กๆ "QuickMenu"
"..เข้าถึงโปรแกรมต่างๆที่มีในเครื่องของคุณโดยวิธีง่ายๆ แค่คลิกขวาที่ Desktop ให้โดยมีผู้ช่วยที่จะทำให้ความง่ายนี้เกิดขึ้นได้แก่ โปรแกรมที่ชื่อ QuickMenu Plus ไม่ต้องไปแก้ไขเพิ่มเติม Registry เองซึ่งเป็นการเสี่ยงเกินไปสำหรับคนมือใหม่ๆ ตัวนี้เป็นของฟรีครับ.."


เข้าถึงโปรแกรมต่างๆที่มีในเครื่องของคุณโดยวิธีง่ายๆ แค่คลิกขวาที่ Desktop ให้โดยมีผู้ช่วยที่จะทำให้ความง่ายนี้เกิดขึ้นได้แก่ โปรแกรมที่ชื่อ QuickMenu Plus ไม่ต้องไปแก้ไขเพิ่มเติม Registry เองซึ่งเป็นการเสี่ยงเกินไปสำหรับคนมือใหม่ๆ ตัวนี้เป็นของฟรีครับเขียนโดยคนญี่ปุ่น คนที่อยู่ทวีปเดียวกับเราๆ นี้หล่ะ ความสามารถของโปรแกรมได้แก่ ทำให้คุณสามารถเรียกโปรแกรมต่างๆ โฟลเดอร์ ดิสก์ไดรฟ์ โดยคลิกขวาที่ Desktop หรือจะคลิกที่ไอคอนที่อยู่ที่ tray มุมขวาด้านล่างของจอ และยังมีฟังก์ชั่น Shell Externtion Toolbar สำหรับ Explorer และ Internet Explorer อีกด้วย

ก่อนอื่นต้องไปโหลดโปรแกรมที่นี่

http://darksky.biz/download/qm203e.exe

1.เมื่อทำการติดตั้งเรียบร้อย ให้ไปที่ Start > All Programs > QuickMenu > Setting QuickMenu เพื่อทำการ Setting โปรแกรม

ที่แท็บ Setting ให้คุณคลิกทำเครื่องหมายถูกที่ Enable Desktop Menu Shell Extension เพื่อทำการเปิดฟังก์ชั่นคลิกขวาของโปรแกรม





2.มาถึงขั้นตอนที่จะเพิ่มไฟล์โปรแกรม ให้คลิกที่ A (ตามรูป) จะมีหน้าต่างให้เลือกไฟล์ให้คุณไปหาไฟล์ที่ต้องการแล้วคลิก Open ส่วนการเพิ่มโฟลเดอร์ก็ให้คลิกที่ B วิธีเดียวกัน





3.เมื่อทำเสร็จตามที่คุณต้องการจะได้รายชื่อโปรแกรมต่างๆ ตามตัวอย่างรูป แต่ชื่อตามรายการจะได้เป็นชื่อโปรแกรมนั้นๆ ถ้าคุณไม่ชอบก็สามารถเปลื่ยนชื่อตามใจคุณได้ และรองรับภาษาไทยได้ครับ ให้คุณคลิกที่ชื่อที่คุณต้องการเปลื่ยน แล้วคลิกที่ C (ตามรูปด้านบน) จะมีหน้าต่าง Rename ให้คุณเปลื่ยนชื่อได้





4.ตามตัวอย่างผมได้เปลื่ยนจาก "Store Inventory System "มาเป็น "รายการพัสดุของสโตร์"

และเมื่อคุณต้องการจะลบรายการบ้างตัวทิ้งก็ให้คลิกที่รายการนั้นๆ และคลิกที่ D (เครื่องหมาย X ตามรูปด้านบน)





5.เมื่อทำรายการทุกตัวเสร็จตามความต้องการแล้วให้คลิกที่ Apply และ OK แล้วมาดูผลกัน ให้คุณคลิกขวาที่ว่างๆ ของDesktop ก็จะมีรายการโปรแกรมต่างๆ ที่คุณทำไว้ข้างต้นปรากฎขึ้นพร้อมใช้งานได้เลย





6.คราวนี้มาที่แท็บ Plus เพื่อเพิ่มฟังก์ชั่น เรียก QuckMenu ขึ้นมาด้วย Shortcut Key ให้คุณติ๊กเครื่องหมายกูกที่ Load on Windows Starup เพื่อให้ทุกครั้งที่เปิดเครื่องวินโดวส์จะเรียกฟังก์ชั่นนี้โดยจะมีไอคอนที่มุมขวาด้านล่างของจอ วิธีใช้ก็ให้คุณคลิกที่ไอคอนนี้ เมนูที่คุณทำไว้จะปรากฎขึ้นหรือให้คุณกดคีย์ Ctrl+Alt+Q ก็จะมีเมนูปรากฎขึ้น





7.มาต่อที่แท็บ Bar ตัวนี้จะเป็นการเพิ่มเมนูต่างๆที่คุณทำไว้ข้างต้นให้มันไปเป็น Menu Bar ของ Inter Explorer ด้วย วิธีการก็ง่ายๆ เพียงคลิกที่ปุ่ม Register ที่หัวข้อ Registerion of Shell Extensions เมนู QuickMenu ของคุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของ IE ส่วนถ้าจะยกเลิกก็คลิกที่ปุ่ม Unregister

มีรายละเอียดอีกนิดคือให้คุณดูที่หัวข้อ Settings QuickMenu Bar ถ้าคุณติ๊กเครื่องหมายถูกที่ Show Menu Text of Button ก็จะเป็นให้โชว์รายชื่อรายการของเมนูด้วยครับ





วิธีเปิด Menu Bar ของ IE เมื่อคุณเปิด IE ขึ้นมาให้ไปที่ View > Toolbars เลือกที่ชื่อ QuickMenuBar








กระสอบทราย LED

เดี๋ยวนี้งานศิลปะมักจะเพิ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ผสมผสานเข้าไปด้วย เพื่อให้ชิ้นงานสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยมีการแสดงดิสเพลย์"สายน้ำ-แสนรู้"ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางการไหลได้เมื่อมีสิ่งกีดขวาง ราวกับสายน้ำจริงๆ และในงานแสดงศิลปะที่ประเทศนิวซีแลนด์ก็มีอะไรแปลกๆ มาฝากคุณผู้อ่านกันอีกเช่นเคย



ที่เห็นในรูป ถ้าไม่บอกว่ามันคืออะไร ก็อาจจะเดาไม่ถูกได้เหมือนกัน เพราะมันเหมือนแท่งไฟขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ ซึ่งดูจากภายนอก ด้านในน่าจะมี LED อยู่หลายร้อยหลอดเลยทีเดียว บอกไปแล้ว คุณผู้อ่านก็อาจจะไม่เชื่อว่า ความจริงเจ้าแท่งไฟที่เห็นลอยเคว้งคว้างอยู่นี้ก็คือ กระสอบทรายสำหรับนักชกมวยนั่นเอง...
ว่าแต่ แล้วทำไมต้องมีหลอด LED อยู่ภายในด้วยล่ะ แล้วมันใช้ชกจริงๆ ได้ไหม? คำตอบก็คือ มันสามารถใช้แทนกระสอบทรายของนักชกมวยได้จริงๆ แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษที่น่าทึ่งอีกด้วย นั่นคือ เมื่อชกไปเรื่อยๆ (แบบว่าต้องเข้าเป้า และได้น้ำหนักต่อเนื่อง) แสงสว่างของ LED ที่อยู่ภายในจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงเข้มไปเป็นสีแดงสว่าง แล้วเปลี่นยเป็นสีเหลืองและสีขาวตามลำดับ โห...ไอเดียสุดยอดเลย

โน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก"

ซิตี้ไลฟ์สไตล์ตอบรับโน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก" ตัวจริงดิจิตอลแอคเซสซอรี่ทั้งใช้งานทั้งโชว์ในเครื่องเดียว ความร้อนแรงที่ส่งผลให้บรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต้องขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ใหม่ลงแข่งขันประชันโฉม เรียกได้ว่ายิ่งใหม่ยิ่งร้อนแรงกว่าของเดิมอีกหลายเท่ายั่วน้ำลายกลุ่มเป้าหมายให้มีโน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก" ไว้ในครอบครอง นับแต่วันที่อัสซุสจุดกระแสโน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก" ด้วยอีอีอี พีซีจนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์กันไปทั่วบ้านทั่วเมือง จึงไม่น่าแปลกใจว่าปัจจุบันนี้เราจะได้เห็นโน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก" ที่เรียกกันติดปากว่า "เน็ตบุ๊ก" หรือ "มินิโน้ตบุ๊ก" ออกมายั่วใจผู้บริโภคได้ไม่เว้นแต่ละเดือน ยิ่งโน้ตบุ๊กไซต์เล็กเป็นกระแสมากเท่าไร ความต้องการจากผู้ใช้งานก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากประสิทธิภาพและความสะดวกในการพกพา ผลักดันให้โน้ตบุ๊กจิ๋วเหล่านี้ได้รับความนิยมจากทั้งมือใหม่ที่เริ่มสนใจใช้คอมพิวเตอร์ และบรรดามือเก่าที่หาซื้อไปใช้เป็นเครื่องที่สองเครื่องที่สาม หากสำรวจตลาด ณ วันนี้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมคงหนีไม่พ้น "อีอีอี พีซี" ของอัสซุส "แอสปายวัน" ของเอเซอร์ และ "มินิโน้ต" จากเอชพี ทั้งสามค่ายมีจุดเด่นจุดแตกต่างที่ทำให้ผู้บริโภคยอมควักเงินเพื่อเลือกซื้อมาใช้งาน ส่วนบรรดาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่พาเหรดเข้าสู่ตลาดในช่วงหลัง ถือได้ว่าเป็นบรรดาขาใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์เช่นกัน ทั้งฟูจิตสึ เดลล์ และเลอโนโว ทุกผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในช่วงนี้ น่าจับตาว่าคลื่นลูกใหม่ที่เข้ามาจะกลบคลื่นลูกเก่าได้หรือไม่ ฟูจิตสึยูเอ็มพีซี ทรี-อิน-วัน โน้ตบุ๊ก ไลฟ์บุ๊ก U2010 คือโน้ตบุ๊กไซต์ "เล็ก" หน้าจอเพียง 5.6 นิ้วจากฟูจิตสึ แต่เป็นฟูลฟีเจอร์โน้ตบุ๊กที่อัดแน่นประสิทธิภาพการใช้งานแบบ ทรี-อิน-วัน ซึ่งผสานความสามารถทั้งแทบเลตต์ โน้ตบุ๊ก และพีซีมือถือหรือแฮนด์เฮลด์พีซีไว้ในเครื่องเดียว ที่สำคัญไลฟ์บุ๊ก U2010 มาพร้อมกับสีสันให้เลือกตรงตามความชอบของแต่ละสไตล์ถึง 5 สี ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ดูสดใสยิ่งขึ้น สอดคล้องกับที่ฟูจิตสึบอกไว้ว่า โน้ตบุ๊กกำลังเป็นเหมือนกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ผู้บริโภคจะพกพาไปไหนต่อไหนและสามารถโชว์ได้ ด้านประสิทธิภาพของไลฟ์บุ๊ก U2010 นั้น มีระบบติดตามตำแหน่งผ่านดาวเทียม ช่วยให้เรื่องการเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น และฟังก์ชั่นเพลงตามสั่งผ่านระบบไร้สาย สามารถเปลี่ยนการเดินทางให้มีสีสันยิ่งขึ้น นอกจากนี้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ส กล้องดิจิตอล 1.3 ล้านพิกเซล มีระบบความปลอดภัยคตบชุด ทั้งระบบไบออสล็อกแบบ 2 ชั้น ระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ สามารภทงานได้ด้วยการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายแบบเคลื่อนที่ได้ ในส่วนพื้นที่สตอเรจของโน้ตบุ๊กสามารถเปลี่ยนได้ และสามารถพับหน้าจอเป็นแทบเลตต์พีซี ซึ่งมีฐานรองกันลื่น ทำให้ไม่ลื่นหลุดมือ ผู้ใช้งานจึงจดบันทึกการสนทนาอัตโนมัติ อีกทั้งสามารถร่างภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วยปากกาสไตลัส และคลิกบันทึกไฟล์เก็บไว้ได้ สูงถึง 100 กิกะไบต์ รวมทั้งมีออปชั่นของการ์ดเอสเอสดี 64 กิกะไบต์ โดยมีราคาที่ 45,900-49,900 บาท เน็ตบุ๊กเดลล์ ขายสิ่งที่มากกว่า "เน็ตบุ๊ก" จากเดลล์ถือเป็นสิ่งใหม่ในตลาดคอมพิวเตอร์บ้านเรา และก็ถือเป็นสิ่งใหม่ของเดลล์เช่นกัน และนี่คือผลิตภัณฑ์ที่เดลล์จะใช้เป็นหัวหอกในการสร้างตลาดคอนซูเมอร์ตัวหลักตัวหนึ่งด้วย "Inspiron Mini 9 คือผลิตภัณฑ์เน็ตบุ๊กใหม่ที่ราคาสุดประหยัดหากเทียบกับประสิทธิภาพที่มากกว่าคู่แข่งขันในตลาด" เป็นคำกล่าวของ อโณทัย เวทยากร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จุดเด่นของ Inspiron Mini 9 นั้นมีน้ำหนักเริ่มต้นเพียง 1 กิโลกรัม ดีไซน์แข็งแกร่งทนทาน คีย์บอร์ดกันฝุ่นกันน้ำ มีส่วนเก็บข้อมูลแบบ SSD (Solid State Disk) หน้าจอ LED ขนาด 8.9 นิ้ว สามารถแสดงหน้าเว็บได้เต็มจอโดยไม่ต้อง scroll แป้นปุ่มกดขนาดใหญ่ ใช้งานสะดวก พร้อมระบบไว-ไฟ ในตัว ช่วยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถาบันการศึกษา ร้านกาแฟ สำนักงาน และยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างกล้องถ่ายภาพในตัวที่มาพร้อมโปรแกรม Dell Video Chat และระบบเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ Inspiron Mini มีสองสีให้เลือก คือสีดำ และขาว สามารถเลือกติดตั้งระบบปฏิบัติการระหว่างวินโดวส์เอ็กพีหรือ Ubuntu 8.04 พร้อมอินเตอร์เฟสจากเดลล์ โดยหน้าจอหลักได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้ใช้หาโปรแกรมใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยไอคอนที่รวบรวมแอปพลิเคชั่นที่มีลักษณะการใช้งานเหมือนกันมารวมกัน เช่น เกม เว็บ และสื่อบันเทิง และลิงค์สู่เว็บที่ใช้งานบ่อยๆ ในช่วงแรกเดลล์จะวางจำหน่ายรุ่นสีขาวซึ่งไม่มีช่องรองรับซิมการ์ดในราคา 12,190 บาท ส่วนรุ่นสีดำที่มีช่องรองรับซิมการ์ด จะเริ่มจำหน่ายกลางเดือนตุลาคม ราคาประมาณ 19,000 บาท ไอเดียแพด เทคโนโลยี+แฟชั่น ไอเดียแพด เน็ตบุ๊ก เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จากค่ายเลอโนโว ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นตามแบบฉบับนัวตกรรมด้านเทคโนโลยี รองรับยุคเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต่างมองหาผลิตภัณฑ์ที่สามารถพกพาได้สะดวกที่สุด ไอเดียแพดมีสองรุ่น ได้แก่ ไอเดียแพด S9 หน้าจอขนาก 8.9 นิ้ว และไอเดียแพด S10 หน้าจอ 10.2 นิ้ว ตัวเครื่องสีดำเงา สีขาวมุก ชมพูมันวาว เลอโนโวได้ออกแบบคีย์บอร์ดให้มีขนาดประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทั่วไป หน้าจอ LED แบบแบล็คไลท์รุ่นประหยัดพลังงาน ช่วยให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานยิ่งขึ้นกว้าหน้าจอทั่วไป ไอเดียแพดรองรับเทคโนโลยีไวไฟและบลูทูธเพื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มีช่อง Express Card สำหรับผู้ที่ชอบการติดต่อผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไอเดียแพดมาพร้อมกับอุปกรณ์ อาทิ กล้องเว็บแคม สำหรับสนทนาผ่านทางวิดีโอ มี USB port 2 ช่อง และตัวอ่านการ์ดแบบ 4-in-1 รองรับการทำงานทั้งระบบไมโครซอฟท์วินโดวส์เอ็กซ์พีและลีนุกซ์ ไอเดียแพดใช้หน่วยประมวลผลอินเทลอะตอม และมีฟังก์ชั่นการใช้งานรองรับการใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องที่สอง หน่วยความจำในตัวเครื่องขนาด 1GB และฮาร์ดดิสก์ความจุ 160GB หรือฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความจุ 4GB นอกจากนี้เน็ตบุ๊กที่ทำงานด้วยโปรแกรมวินโดว์ส จะมีระบบการกู้ข้อมูลกลับคืนในปุ่มเดียวลิขสิทธิ์เฉพาะของเลอโนโว ที่ช่วยนำข้อมูลทั้งหมดกลับสู่สภาพเดิมได้ในสัมผัสเดียวเมื่อเกิดความผิดพลาดบนเรบบหรือเครื่องติดไวรัสบุ๊กไซต์ "เล็ก"ยิ่งใหม่ยิ่งร้อนแรง

ระวัง!!! Scareware

WARNING: YOUR COMPUTER IS VULNERABLE! CLICK HERE TO PROTECT YOURSLEF! ถ้าคุณผู้อ่านเคยเผชิญหน้ากับข้อความเตือนลักษณะนี้ ซึ่งแม้จะดูเหมือนกับหน้าต่างป๊อปอัพทั่วไป แต่เมื่อคุณคลิก OK ฝันร้ายก็จะตามมาหลอกหลอนคุณ เนื่องจากมันจะแจ้งเตือนให้ทราบว่า ซอฟต์แวร์ในระบบมีปัญหามากมายที่ต้องได้รับการแก้ไข และเพียงแค่จ่ายค่าบริการให้กับมันเท่านั้น ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย!!!
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คือ หลังจากที่คลิกหน้าต่างป๊อปอัพที่มาพร้อมกับข้อความเตือนดังกล่าว ระบบจะดาวน์โหลดมัลแวร์ แล้วติดตั้งเข้าไปในเครื่องของคุณ หลังจากนั้น โปรแกรมจะทำทีว่า ตรวจสอบการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะแจ้งเตือนความเสียหายของระบบซอฟต์แวร์นับร้อยรายการที่มันพบในเครื่องของคุณ ซึ่งหากผู้ใช้ตื่นตระหนกไปกับข้อความแจ้งเตือนดังกล่าว ก็เป็นทีของเจ้าของซอฟต์แวร์ เพราะมันจะมาพร้อมกับข้อเสนอที่ว่า หากผู้ใช้ต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จะต้องจ่ายเงิน เพื่อซื้อซอฟต์แวร์เวอร์ชันสมบูรณ์ และทันทีที่จ่ายเงินให้กับมัน ปัญหาทั้งร้อยรายการนั้นก็จะหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับคดีความในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยหลายๆ บริษัทที่ตกเป็นจำเลยได้ถูกฟ้องโดยไมโครซอฟท์ และรัฐวอชิงตัน ซึ่งยังคงมีอีกหลายบริษัทที่กระทำการในลักษณะนี้ แต่ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งคุณผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินว่ามีแอพพลิเคชันราคา 40 เหรียญฯ (ประมาณ 1,300 บาท) ที่ชื่อว่า Registry Cleaner XP ที่ช่วยทำความสะอาดรีจิสทรีให้กับระบบปฏิบัติการก็ตกเป็นหนึ่งในนั้นด้วยแล้วถ้าหากพบหน้าต่างป๊อปอัพที่มีข้อความลักษณะนี้จะทำอย่างไร? เพื่อให้หลุดรอดจากการติดตั้งมัลแวร์ โดยไม่รู้ตัว ขั้นแรกเลย อย่าคลิกบนปุ่มปิดหน้าต่าง (หรือปุ่ม OK) ที่เห็นในหน้าต่างป๊อปอัพ หรือแม้แต่กากบาทสีแดง เพราะมันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการดาวน์โหลดมัลแวร์ วิธีกำจัดหน้าต่างพวกนี้ออกไปโดยปราศจากความเสี่ยง ก็คือ คลิกขวาปุ่มของหน้าต่างดังกล่าวที่ปรากฎบน taskbar แล้วเลือกคำสั่ง Close ถ้ายังปิดไม่สำเร็จ ให้ออกจากโปรแกรมเว็บบราวเซอร์โดยเลือกคำสัง Exit ในเมนู File

Trouble Shooting

วิธีกู้ไฟล์จาก harddisk, flash drive ด้วยโปรแกรม Easy Recovery Professional :: Hardware ::
ความพลั้งเผลอ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดใช้คอมฯ หรือมือเก๋าๆ ก็ตาม สำหรับการแก้ไขหรือการกู้ไฟล์นั้น เริ่มต้น ถ้าเป็นการลบโดยผ่านโปรแกรม windows explorer ก็สามารถกู้คืนด้วย Recycle Bin ถังขยะที่เก็บไฟล์ที่ถูกลบทิ้ง แต่บ้างคร้ง การลบทิ้งก็ไม่สามารถกู้ด้วยวิธีนี้ได้ ทำความรู้จักโปรแกรม Easy Recovery Professionalโปรแกรมนี้ถือเป็นโปรแกรมในระดับยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการซ่อมแซม แก้ไข ฮาร์ดดิสก์โดยเฉพาะ (รวมทั้ง Floppy Disk, Flash Drive และ Digital media เช่น CompactFlash, Memory Stick เป็นต้น) สามารถกู้ไฟล์ได้แม้กระทั่งมีการ fromat ฮาร์ดดิกส์ไปแล้วด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หลังการเกิดปัญหา จำเป็นจะต้องหยุดการทำงานทุกอย่างก่อน ไม่อย่างนั้นก็กู้ไฟล์อาจไม่สมบูรณ์ 100% จุด Download โปรแกรมโปรแกรมไม่ใช่ ฟรีแวร์ ครับ แต่ก็แนะนำให้ซื้อหากันมาใช้ เพราะมีโปรโยชน์มากเลยทีเดียว ข้อมูลเพิ่มเติม และจุด download ::
Easy Recovery Pro การแก้ไข
หลังการติดตั้งโปรแกรมแล้วให้เปิดโปรแกรมจะได้ดังภาพ
เลือกหัวข้อ Data Recovery
เลือก Advanced Recovery จากนั้นรอสักครู่
โปรแกรมจะแสดง hardisk หรือ media ที่ค้นพบ
จากนั้น เลือกสื่อที่ต้องการกู้ไฟล์ จากนั้นคลิกปุ่ม Next
โปรแกรมจะเริ่มตรวจสอบไฟล์ที่สามารถกู้ได้
เลือก drive ที่จัดเก็บไฟล์ที่จะกู้ขึ้นมา
คลิกปุ่ม Next เพื่อเริ่มกู้ไฟล์ และรอจนกระทั่งเสร็จ

Harddisk

Harddisk อ่านว่า ฮาร์ดดิสก์ อุปกรณ์ที่เก็บข้อมูล ซึ่งอยู่ภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากที่สุดตัวหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นตัวเก็บโปรแกรม ข้อมูลต่างๆ ซึ่งทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ ถ้าไม่มีและมีปัญหาย่อมมีผลกับระบบคอมพิวเตอร์แน่นอน
มารู้จักฮาร์ดดิสก์กันก่อน ฮาร์ดดิกส์ คืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมที่สำคัญมากที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์ หลาย ๆ คนอาจเรียก "Fix Disk" เนื่องจากเป็นดิสก์ที่ถูกยึดติดแน่นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปเราไม่สามารถมองเห็นตัวฮาร์ดดิสก์ เนื่องจากถูกติดตั้งอยู่ภายใน ถ้าต้องการดู จำเป็นจะต้องเปิดฝาครอบตัวเครื่องจึงจะมองเห็น ไดร์ซของฮาร์ดดิกส์ปกติ จะเริ่มต้นจาก drive C: (คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์ได้มากกว่า 1 ตัว) ความจุของฮาร์ดดิสก์เนื่องจากฮาร์ดิกส์เป็นที่เก็บทั้งข้อมูลต่าง ๆ และโปรแกรม ดังนั้นขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ จึงเป็นส่วนสำคัญในการเลือกนำมาใช้งาน และเนื่องจากโปรแกรมในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น windows และโปรแกรมอื่น ๆ มักมีขนาดใหญ่มากขึ้น สำหรับความจุของฮาร์ดดิสก์ มีหน่วยเป็น กิกะไบต์ (GB : Gigabyte) เช่น 20 GB, 40 GB, 80 GB เป็นต้น ลักษณะการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ การเชื่อมต่อมีคำศัพท์เรียกเป็นทางการว่า อินเตอร์เฟส "Interface" เราสามารถแบ่งลักษณะการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิกส์ได้ 2 ประเภท
IDE และ E-IDE การเชื่อมต่อแบบ IDE (integrated Drive Electronics) เป็นการเชื่อมต่อแบบเก่า มีข้อจำกัดรองรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์ได้แค่ 528 เมกกะไบต์ ส่วน E-IDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) คือพัฒนาการของ IDE นั่นเอง สามารถรองรับการเชื่อมต่อในระดับ กิกะไบต์ ปัจจุบันการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์ นิยมใช้แบบ E-IDE
SCSI การเชื่อมต่อแบบ SCSI (Small Computer System Interface) เป็นการเชื่อมต่อแบบความเร็วสูง นิยมใช้กับระบบเครือข่าย เนื่องจากมีราคาสูงกว่าการเชื่อมต่อแบบ E-IDE (การเชื่อมต่อแบบ SCSI นี้จะต้องมีการ์ด SCSI ติดตั้งภายในตัวเครื่องคอมฯอยู่ด้วย)ยี่ห้อของฮาร์ดดิสก์ในประเทศไทยมีฮาร์ดดิสก์ที่นิยมใช้กันมากได้ แก่ Seagate, IBM, Western Digital, Maxtor, Quantum, Fujitsu, Conner, Summer สำหรับวิธีการดูว่าเราใช้ฮาร์ดิกส์ยี่ห้ออะไร และมีความจุเท่าใด เราสามารถดูได้จากตัวฮาร์ดดิสก์โดยตรง


โครงสร้างฮาร์ดดิสก์ Harddisk ประกอบด้วยแผ่นวงกลมขนาดตั้งแต่ 2 - 5.25 นิ้วเรียงซ้อนกัน (แผ่นวงกลมนี้เราเรียกว่า disk) จะถูกบรรจุภายในกล่องปิดสนิท ไม่ให้อากาศหรือฝุ่นเข้าไปถึงกัน โดยมีหัวอ่านอยู่ขั้นระหว่างแผ่นดิสก์ โดยปกติหัวอ่านจะมี 2 หัวต่อแผ่นดิสก์ 1 จาน สำหรับแผ่นดิสก์แต่ละจาน พื้นผิวของจานดิกส์ (เราเรียกว่า Platter) จะถูกแบ่งเป็นวง ๆ เราเรียกว่า แทร็ค (Track) โดยเริ่มนับจากวงนอกสุด ว่า track หมายเลข 0 (จำนวน track มาก Harddisk ก็ยิ่งมีความจุมาก) นอกจากนี้เราในส่วนของ track ยังมีการแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามแนวเส้นผ่าศูนย์กลางอีก เราเรียกว่า เซ็กเตอร์ (sector) ส่วน ไซลินเดอร์ (cylinders) จะหมายถึง ตำแหน่งของ track ของทุก ๆ platter นั้นเอง Master Boot Record (MBR)การทำงานของฮาร์ดดิสก์ จะมีตำแหน่งในการเริ่มต้นระบบ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ Cylinder 0, Head 0 และ Sector 1 ซึ่งถือว่าเป็น sector แรกบนดิสก์ เราเรียกว่า "Master Boot Record" ถ้า MBR เสียหรือมีปัญหาจากไวรัส จะทำให้เราไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ สำหรับวิธีแก้ไข MBR เสีย ให้เราบู๊ตเครื่องด้วยแผ่น boot จากนั้นให้พิมพ์คำสั่ง Fdisk /mbr (คำสั่งนี้จะไปทับ MBR เดิมที่มีปัญหา)
พาร์ติชั่นฮาร์ดดิสก์ พาร์ติชั่นคืออะไร พาร์ติชั่น (partition) คือ การแบ่งพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เป็นส่วน ๆ หรือแบ่งเป็นหลาย ๆ ไดร์ซ เพื่อนี้เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและโปรแกรม โดยปกติเราควรแบ่งพาร์ติชั่นอย่างน้อยเป็น 2 ไดร์ซ คือ C: และ D: (C: สำหรับติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ส่วน D: สำหรับติดตั้งข้อมูล และเพื่อสำรองข้อมูล) โดยปกติเมื่อมีการใช้งาน windows ไปสักพักหนึ่ง มีการติดตั้งโปรแกรมใหม่ ๆ และยกเลิกการติดตั้งบ่อยๆ จะทำให้ระบบ windows มีปัญหา ทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือการ format ฮาร์ดดิสก์ และติดตั้งโปรแกรมใหม่ ดังนั้นถ้ามีไดร์ซเดียว จะทำให้มีปัญหาของข้อมูลที่เราต้องการสำรอง ประเภทของพาร์ติชั่นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
-Primary Partition เป็นพาร์ติชั่นหลักของระบบคอมพิวเตอร์ ใช้สำหรับในการบูตเข้าระบบคอมพิวเตอร์ พาร์ติชั่นหลักจะหมายถึง drive C:
-Extended Partition พาร์ติชั่นเสริม เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลและโปรแกรม เมื่อมีการสร้าง extened partition จะเกิด Logical Partition อัตโนมัติ โดยเราสามารถแบ่งเป็นพาร์ติชั่นย่อย ๆ ได้ และสามารถกำหนด drive ได้ตั้งแต่ D จนถึง Z การสร้าง extended partition จะสร้างได้ ต้องสร้างหลัง primary partition แล้วเท่านั้น
Logical Partition เป็นพาร์ติชั่นที่อยู่ภายใต้ extened partition จะเกิด logical partition ได้ต่อเมื่อมีการสร้าง extened partition ก่อนเท่านั้น เวลาสร้าง partition จะใช้โปรแกรมชื่อ Fdisk.exe ช่วยในการสร้าง

Outlook Express

ลดขนาด mail box ใน Outlook Expressสำหรับผู้ใช้งาน Outlook Express ในการเช็คเมล์โดยเฉพาะ ทุกวันจะมีเมล์เข้ามาเรื่อยๆ และส่งผลทำให้ mail box ของคุณมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ คนได้มีการลบเมล์ออกจากโฟลเดอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Inbox, Send items หรือ Deleted Items ทั้งนี้เพื่อให้เมล์ดูเป็นระเบียบ ไม่เกะกะ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า วิธีการนี้ไม่ทำให้ขนาด mail box ของคุณลดลงเลย ทดสอบง่ายๆ ด้วยการลบไฟล์ใน mail box Deleted Items ออกให้หมด จากนั้นให้เข้าไปดูขนาดของไฟล์ Deleted Items จะเห็นว่าไม่ลดลงเลย (ส่วนวิธีการดูนั้น ให้ทำตามรายะเอียดตั้งแต่ข้อ 1 - 6 ด้านล่างครับ) ถ้า mail box ของคุณใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ มีหวังสักวันหนึ่งคุณจะมีปัญหาของระบบ mail แน่นอน อาจทำให้ไม่สามารถรับได้ หรือ mail box เสียก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องกลัวครับ วันนี้ผมมีวิธีมาบอก ง่ายๆ แต่ต้องใช้เทคนิค นิดหน่อยครับ ถ้าสนใจจะลดขนาดไฟล์
ขั้นตอนการลดขนาดไฟล์ใน Mail Box
1.เปิดโปรแกรม Outlook Express
2.คลิกเมนู Tools
3.เลือก Options
4.คลิกเลือกแท็ป Maintenance
5.คลิกปุ่ม Store Folder เพื่อดูว่าเมล์ของเราเก็บไว้ที่ไหน




Outlook Expressโปรแกรมรับ-ส่ง mail ที่มาพร้อมกับ Windows
6.จากนั้น ให้ copy ตำแหน่งที่อยู่ของเมล์นั้น ไปวางบน Windows Explorer


7.ให้กลับไปปิดโปรแกรม Outlook Express ก่อนน่ะครับ
จากภาพด้านบน คุณจะเห็นไฟล์ต่างๆ ของ Outlook Express ให้เลือก mail box ไหนก็ได้ที่คุณต้องการลดขนาด เช่น Deleted Items เป็นต้น (ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ สำรองข้อมูลไว้ก่อนน่ะครับ)
กดปุ่ม Delete ได้เลย
จากนั้น กลับไปเปิดโปรแกรม Outlook Express (โปรแกรมจะสร้าง mail box ว่างๆ ให้ใหม่ครับ)
แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว เพิ่มเติม: ถ้าเป็น mail box อื่นๆ ลบข้อมูลออกไม่ได้ (เพราะสำคัญ) แนะนำให้ย้ายไปยังโฟลเดอร์อื่นๆ ก่อนลบ


วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Peer to Peer

เครือข่ายขนาดจิ๋ว


Home, Small Office Network

การจัดทำระบบเครือข่ายในปัจจุบัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว เนื่องด้วยอุปกรณ์และโปรแกรมก็สามารถจัดหาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง แถมการใช้งานในระบบเครือข่ายก็สามารถช่วยในการประหยัดได้มากทีเดียว (ถ้าคุณมีคอมพิวเตอร์ใช้งานมากกว่าหนึ่งเครื่องขึ้นไป) ถ้าสนใจละก็ลองมาศึกษากันดู เพียงไม่กี่ขั้นตอนคุณก็สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด






อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Network คลิกที่นี่ สำหรับในส่วนนี้จะขอแนะนำการสร้าง Home Network, Small office Network เป็น Network แบบ peer to peer สำหรับใช้ในธุรกิจที่มีจำนวนเครืองคอมพิวเตอร์ไม่มาก (ไม่ควรเกิน 10 เครื่อง)


ประโยชน์ของระบบเครือข่าย แบบ Peer to Peer
ติดตั้งง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย เมื่อเทียบกับเครือข่ายอื่น ๆ
ไม่จำเป็นต้องมีการดูแล หรือผู้ชำนาญการสูง
สามารถดูข้อมูล แลกเปลี่ยนและแชร์การใช้อินเตอร์เน็ตร่วมกันได้
สามารถแชร์เครื่องพิมพ์ CD-ROM ร่วมกันได้ด้วย
ไม่จำเป็นต้องมี Server (คอมพิวเตอร์แม่)
อุปกรณ์ในระบบเครือข่าย และราคา



HUB
คืออุปกรณ์ทีใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการกระจายสัญญาณ (เลือก Hub ที่ความเร็ว 10 Mbps ก็พอ) หรือข้อมูล โดยปกติการเลือก Hub จะดูที่จำนวน Port ที่ต้องการ เช่น 8 ports, 12 ports, 24 ports เป็นต้น ราคาจะขึ้นกับยี่ห้อตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น


LAN Card
คือ Card ที่จะติดตั้งภายในเครื่อง PC ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก เท่ากับ VGA Card หรือ Sound Card สำหรับ Lan Card ยังแบ่งออกได้หลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นกับความเร็วที่ต้องการ เช่น 10 Mbps, 10/100 Mbps, 100 Mpbs เป็นต้น ราคาถูกตั้งแต่หลักร้อยขึ้นไป


Network Cable
คือสายสัญญาณที่มีลักษณะคล้ายสายโทรศัพท์ ที่นิยมใช้มีดังนี้ UTB, STB ซึ่งการเลือกสายแต่ละประเภทนี้จะขึ้นกับการนำไปใช้ เช่น ติดตั้งภายใน ภายนอก หรือระยะทางไกลแค่ไหน เป็นต้น ส่วนเรื่องราคาจะขายกันเป็นเมตร สามารถสั่งซื้อสำหรับรูปจากร้านคอมพิวเตอร์ได้ ถ้าต่อไม่ไกลใช้ประมาณ 1- 2 เมตรก็ได้ ราคาประมาณ 2-3 ร้อยบาท (บอกทางร้านให้เข้าหัวที่เป็น RJ45 หัวและท้ายด้วย) สำหรับยี่ห้อที่แนะนำคือ AMP

หมายเหตุ RJ45 คือหัวที่ใช้ต่อกับ Network Cable มีลักษณะเหมือนหัวโทรศัพท์ตามบ้านทั่วไป แต่มีขนาดใหญ่กว่า
Peer to Peer



ขั้นตอนการติดตั้ง Home Network, Office Network

ADSL

ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้น
ADSL มาจากคำว่า Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง ให้เป็นเส้นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ADSL สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไป (ส่วนจะได้ความเร็ว กว่า 6 Mbps หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมทั้งระยะทางการเชื่อมต่ออีกด้วย) ความเร็วขณะนี้ มากเพียงพอสำหรับงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
• งาน Access เครือข่าย อินเทอร์เน็ต
• การให้บริการแพร่ภาพ Video เมื่อร้องขอ (Video On Demand)
• ระบบเครือข่าย LAN
• การสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานที่ทำงานกับบ้าน (Telecommuting)

ประโยชน์จากการใช้บริการ ADSL
• ท่านสามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก
• ท่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา
• การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
• ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
• ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน
• ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน
• สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง

อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลบน ADSL
ADSL ที่ว่าทำงานเร็ว นั้นเร็วเท่าใดกันแน่ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ADSL มีอัตราความเร็วขึ้นอยู่กับชนิด ดังนี้
• Full-Rate ADSL เป็น ADSL ที่มีศักยภาพในการส่งถ่ายข้อมูลข่าวสาร ที่ความเร็ว 8 เมกกะบิต ต่อวินาที
• G.Lite ADSL เป็น ADSL ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลข่าวสารได้สูงถึง 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที ขณะที่กำลัง Download ความเร็วขนาดนี้ คิดเป็น 25 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ขนาด 56K และคิดเป็น 50 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem ความเร็ว 28.8K
• ผู้ให้บริการ ADSL สามารถให้บริการ ที่ความเร็วต่ำขนาด 256K ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ
อัตราความเร็วขึ้นอยู่กับ ระดับของการให้บริการ จากผู้ให้บริการ โดยปกติแล้ว Modem ที่เป็นระบบ ADSL สามารถ Download ข้อมูลได้ที่ความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที ไปจนถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ มาตรฐาน G.lite ที่กำลังจะมาใหม่ สามารถให้บริการที่อัตราความเร็วเป็น 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที
ADSL สามารถทำงานที่ Interactive Mode หมายความว่า ที่ Mode การทำงานนี้ ADSL สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล ที่ความเร็วมากกว่า 640 Kbps พร้อมกันทั้งขาไปและขากลับ

ขีดความสามารถของ ADSL
เทคโนโลยีของ ADSL เป็นแบบ Asymmetric มันจะให้ Bandwidth การทำงานที่ Downstream จากผู้ให้บริการ ADSL ไปยังผู้รับบริการสูงกว่า Upstream ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลจากผู้ใช้บริการหรือลูกค้า ไปยังผู้ให้บริการ(ดังรูปที่ 1 และ 2)

รูปที่ 1 แสดงความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลแบบ Upstream/Downstream


รูปที่ 2 แสดงเปรียบเทียบความเร็วของระบบ

วงจรของ ADSL จะเชื่อมต่อ ADSL Modem ที่ทั้งสองด้านของสายโทรศัพท์ ทำให้มีการสร้างช่องทางของข้อมูลข่าวสารถึง 3 ช่องทาง ได้แก่
• ช่องสัญญาณ Downstream ที่มีความเร็วสูง
• ช่องสัญญาณ ความเร็วปานกลางแบบ Duplex (ส่งได้ทางเดียว)
• ช่องสัญญาณที่ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน
ช่องสัญญาณ Downstream ความเร็วสูง มีความเร็วระหว่าง 1.5-6.1 Mbps ส่วนอัตราความเร็วของช่องสัญญาณแบบ Duplex อยู่ที่ 16-640 Kbps นอกจากนี้ ในแต่ละช่องสัญญาณยังสามารถแบ่งออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ ที่มีความเร็วต่ำ ที่เรียกว่า Sub-Multiplex ได้อีกหลายช่อง
ADSL Modem สามารถให้อัตราความเร็วการส่งถ่ายข้อมูลมาตรฐานเทียบเท่า North American T1 1.544 Mbps และ European E1 2.048 Mbps โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการความเร็วได้หลายระดับ

ระยะทางและอัตราความเร็วของ ADSL
ระยะทางมีผลต่ออัตราความเร็วในการให้บริการของ ADSL เป็นอย่างมาก โดยมีปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดความยาวสาย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวด อุปกรณ์ Bridge Taps รวมไปถึงการกวนกันของอุปกรณ์ Cross-Coupled
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ความเสื่อมถอย (Attenuation) ของสัญญาณเกิดขึ้น เมื่อความยาวของสายทองแดงมีมากขึ้น รวมทั้งความถี่ ซึ่งค่านี้จะลดลงเมื่อเพิ่มขนาดของสาย
อย่างไรก็ดี งาน Application ที่ต้องใช้บริการ ADSL ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Compressed Digital Video เนื่องจากเป็นสัญญาณประเภททำงานแบบเวลาจริง (Real-Time) ด้วยเหตุนี้ สัญญาณ Digital Video เหล่านี้ จึงไม่สามารถใช้ระบบควบคุมความผิดพลาด แบบที่มีอยู่ในระดับของเครือข่ายทั่วไป ดังนั้น ADSL Modem จึงมีระบบ ที่เรียกว่า Forward Error Correction ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้นโดยสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาสั้นมาก หรือที่เรียกว่า Impulse Noise โดย ADSL Modem จะใช้วิธีการตรวจสอบความผิดพลาดที่ทำงานบนพื้นฐานของ การกำหนดให้มีการตรวจสอบสัญญาลักษณ์ทีละตัว การทำเช่นนี้ ก็ยังช่วยให้ เป็นการลด ปัญหาการควบของสัญญาณรบกวนในสาย

การทำงานของ ADSL
หลักการทำงานของ ADSL ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากว่า สายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง มี Bandwidth สูงคิดเป็น หลายๆ MHz ดังนั้น จึงมีการแบ่งย่านความถี่นี้ออกเป็นส่วน เพื่อใช้งานโดยวิธีการแบบที่เรียกว่า FDM (Frequency Division Multiplexing) ซึ่งเป็นเทคนิคการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆช่อง โดยที่แต่ละช่องสัญญาณจะมีความถี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะได้ Bandwidth ต่างๆ ดังนี้
• ย่านความถี่ขนาดไม่เกิน 4 KHz ปกติจะถูกนำมาใช้เป็น Voice กับ FAX
• ย่านความถี่ที่สูงกว่านี้ จะถูกสำรองจองไว้ให้การรับส่งข้อมูล โดยเฉพาะ ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น หลายย่านความถี่ เช่น ช่องสัญญาณสำหรับ การรับข้อมูลแบบ Downstream ตัวอย่าง เช่นการ Download ข้อมูล ส่วนช่องสัญญาณอื่นมีไว้สำหรับการส่งข้อมูลที่มีความเร็วต่ำกว่า Downstream ซึ่งเรียกว่า Upstream หรือสำหรับการ Upload ข้อมูล เป็นต้น (ดูรูปที่ 3 )


รูปที่ 3 ภาพแสดงการแบ่งย่านความถี่ของ ADSL

สถาปัตยกรรมการทำงานของเครือข่าย ADSL
เทคโนโลยีของเครือข่าย ADSL มิได้มีไว้เพื่อการ Download ข้อมูลจาก Web Page อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการให้บริการสื่อสารในลักษณะ Broad Band สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งคำว่า Broad Band ในที่นี้หมายถึง การให้บริการสื่อสารที่มีความเร็วเกินกว่า 1-2 Mbps ขึ้นไป (ดังรูปที่ 4)


รูปที่ 4 ภาพแสดงโครงสร้าง Infrastructure ของเครือข่าย ADSL

รูปที่ 4 เป็นการแสดงการเชื่อมต่อ ADSL ในลักษณะเครือข่าย Broad Band ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบนี้ เป็นแบบเรียบง่าย โดยผู้เข้ารับบริการมีเพียง Modem ที่เป็นระบบ ADSL เท่านั้น เสียบเข้ากับ Connector ที่เป็นอุปกรณ์เรียกว่า Splitter หรือ Filter ซึ่งมีลักษณะคล้ายเต้าเสียบสายโทรศัพท์ ซึ่งจะมี Connector 2 ช่อง โดยช่องหนึ่งสำหรับเสียบสาย Modem ขณะที่อีกช่องหนึ่งสำหรับเสียบเข้ากับสายโทรศัพท์ ตามปกติ และสามารถใช้งานได้พร้อมๆกัน บนสายโทรศัพท์เส้นเดียวกันเท่านั้น (ADSL Modem บางแบบสามารถติดตั้งเข้ากับสายโทรศัพท์ได้เลย ไม่ต้องเชื่อมต่อกับ Splitter) ลักษณะของตัว Splitter หรือ Filter ดังรูปที่ 5 และ 6


รูปที่ 5 ภาพแสดง อุปกรณ์ Splitter

รูปที่ 6 ภาพแสดงการเชื่อมต่อระหว่าง ADSL Modem ที่บ้าน

ผู้ใช้บริการสามารถใช้โครงข่าย ADSL นี้เพื่อการ Access เข้าไปขอรับบริการจากผู้ให้บริการ (Provider) เช่น Internet Provider หรือ ผู้ให้บริการ Video On Demand Server หรือผู้ให้บริการข้อมูลต่างๆ เป็นต้น

สถานที่ผู้เข้ารับบริการ ADSL นั้น นอกจากจะต้องมี ADSL Modem แล้ว ยังต้องมี อุปกรณ์เล็กๆตัวหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวมาแล้วคือ Splitter หรือ Filter ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะทำหน้าที่แยกสัญญาณเสียงที่มีความถี่ไม่เกิน 4 KHz สำหรับการส่ง Voice เช่นการพูดคุยโทรศัพท์ ส่วนย่านความถี่ที่เหลือ เช่น 1-2 MHz ขึ้นไป จะถูกกันไว้เพื่อการส่งข้อมูล (Upstream) และรับข้อมูลเข้ามา (Downstream) โดยที่ Splitter สามารถแยกสัญญาณทั้ง 3 ออกจากกัน ดังนั้นท่านสามารถคุยโทรศัพท์ขณะที่ยังสามารถ Download ข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ตพร้อมกันได้
ส่วนที่ศูนย์บริการระบบ ADSL นั้น เราเรียกว่า CO หรือ Central Office ซึ่งอาจเป็นของผู้ให้บริการ ADSL หรือไม่ก็อาจเป็นชุมสายโทรศัพท์เสียเองก็ได้ จะทำหน้าที่รับเอาสัญญาณ Voice Services (เสียงพูดโทรศัพท์) เข้ามาที่ตัว Voice Switch ซึ่งอาจรวมทั้ง Data ก็ได้ โดย สัญญาณทั้งสองจะมาสิ้นสุดที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Splitter ชุดใหญ่ที่ศูนย์ให้บริการแห่งนี้ ลักษณะนี้จะเห็นได้ว่า เส้นทาง Local Loop (เส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ) จะไปสิ้นสุดที่ Access Node แทนที่จะเป็น CO Switch (คำว่า Access Node ในที่นี้หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสลับสัญญาณ ADSL หรือที่เรียกว่า DSLAM (DSL Access Multiplexer ส่วน CO Switch หรือ Voice Switch หมายถึงระบบสลับสัญญาณเพื่อให้บริการระบบโทรศัพท์)
หน้าที่ของ DSLAM ได้แก่การสลับสัญญาณ ADSL ที่เข้ามาพร้อมๆกันหลายช่อง โดยผ่านเข้ามาทางชุด Splitter ในศูนย์ผู้ให้บริการ ให้สามารถออกไปที่ เอาท์พุท ปลายทาง ซึ่งในที่นี้ได้แก่ ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายต่างๆ เช่น ISP หรือผู้ให้บริการ Video On Demand หรือศูนย์ให้บริการข้อมูลข่าวสารต่างๆ หรือ สำนักงานใหญ่ของหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชนก็ได้ (ดังรูปที่ 7)


รูปที่ 7 ภาพแสดงลักษณะของ DSLAM
ส่วนประกอบของโครงข่าย ADSL
เครือข่าย ADSL จัดเป็นเครือข่ายที่มีสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีรายละเอียดดังนี้ (ดูรูปที่ 8 )

รูปที่ 8 ภาพแสดงส่วนประกอบของระบบ ADSL

จากรูปที่ 8 จะเห็นว่า เครือข่าย ADSL ประกอบด้วย ADSL ATU-R ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถ Access เข้าไปที่เครือข่าย ADSL ได้ โดยที่อุปกรณ์ดังกล่าว อาจมีลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ ที่วางบนเครื่อง PC หรือบน TV ก็ได้ ซึ่งโดยมากอุปกรณ์นี้ จะเป็น ADSL Modem พร้อมด้วย Splitter หรือ ADSL Router อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้
การเชื่อมต่อสายจาก ATU-R อาจง่ายดายเหมือนการติดตั้ง 10Base-T LAN ก็ได้ หรือไม่ก็อาจมีความสลับซับซ้อน ดังเช่น การติดตั้งเครือข่าย ATM ก็เป็นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่จะใช้ เพื่อการ Access เข้าไปที่เครือข่าย ADSL
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเป็นการ Access เข้าไปที่ระบบเครือข่ายในรูปแบบของ Broad Band ก็ตาม แต่การเชื่อมต่อสายโทรศัพท์ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เนื่องจากมีอุปกรณ์ ที่เรียกว่า Splitter ทำหน้าที่แยกสัญญาณ Analog ออกมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ภายใน Central Office หรือชุมสายโทรศัพท์ท้องถิ่น (หรือผู้ให้บริการ ADSL) นั้น การให้สัญญาณเสียงแบบ Analog ซึ่งก็คือเสียงโทรศัพท์ จะถูกส่งผ่านไปที่ PSTN Voice Switch (ระบบโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) พร้อมด้วย Splitter ต่างหากอีกชุดหนึ่ง โดยสัญญาณโทรศัพท์จะถูกแยกออกไปที่ระบบสลับสายสัญญาณโทรศัพท์ปกติ ส่วน สัญญาณที่เป็นข้อมูลที่มาจาก ADSL Modem จะถูกส่งไปที่ DSLAM จากนั้นจะถูก Multiplex หรือสลับสัญญาณไปที่ผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ เช่น ISP เป็นต้น

โดยปกติแล้ว Software สำหรับการสลับสายสัญญาณโทรศัพท์ไม่จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือ Upgrade แต่อย่างใด (ไม่เหมือนกับระบบ ISDN ที่ต้องการ Upgrade) นอกจากนี้ ADSL ยังช่วยลดจำนวนของ Voice Switch และลดปัญหา ความแออัดของ Trunk อันเนื่องมาจากการให้บริการที่ไม่ใช่ Voice อีกด้วย
การเชื่อมต่อของ ADSL ทั้งหมดที่มาจากผู้ใช้บริการ จะมารวมอยู่ที่ DSLAM จากนั้นก็จะถูกนำเข้าสู่อุปกรณ์ ที่เรียกว่า DACs ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะพาเข้าสู่ Trunk ของเครือข่ายอีกทีหนึ่ง ซึ่ง Trunk นี้ อาจเป็น ระบบ Unchannelized T3 ซึ่งวิ่งที่ความเร็ว 45 Mbps และจากนั้นก็จะวิ่งเข้าสู่ ISP อีกทีหนึ่ง สำหรับในประเทศไทย มีผู้ให้บริการบางรายที่ใช้ Trunk เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ ISP เป็น Frame Relay ขนาดความเร็ว 512 Kbps (ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ คาดว่า Configuration นี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว) ดูรูปที่ 9


รูปที่ 9 แสดงการเชื่อมต่อของ UBT

ADSL กับมาตรฐานการทำงาน
ในสหรัฐมีการกำหนดมาตรฐานการทำงานของ ADSL ในระดับปฏิบัติการเชิง Physical Layer โดย American National Standard Institute (ANSI) ได้กำหนดมาตรฐานของ ADSL ขึ้นมาเรียกว่า T.413-1995 ซึ่งในเอกสารมีการระบุว่า อุปกรณ์ ADSL สามารถสื่อสารกันบน เครือข่ายแบบ Analog Loop ได้อย่างไร แต่ในเอกสารไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายสถาปัตยกรรมทั้งหมดของเครือข่ายรวมทั้งการให้บริการ นอกจากนี้ยังไม่ได้อธิบายหน้าที่การทำงานภายใน อุปกรณ์ ADSL Access Node ใดๆ แต่จะเน้นถึงการเข้ารหัสข้อมูลภายในสาย (จะส่งข้อมูลที่เป็นบิตได้อย่างไร?) รวมทั้งโครงสร้างของ Frame (บิตข้อมูลต่างๆถูกจัดเข้าเป็นองค์ประกอบได้อย่างไร?) บนสายสัญญาณ
ผลิตภัณฑ์ ADSL ได้ถูกผลิตขึ้นให้ใช้วิธีการของ Line Coding (วิธีการเข้ารหัสเพื่อการส่งสัญญาณในสาย) ซึ่งวิธีการของ Line Coding นี้มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ Carrier Amplitude/Phase Modulation (CAP) Quadrature Amplitude Modulation (QAM) และเทคโนโลยี Discrete Multitone (DMT)
ไม่ว่า ระบบ Line Coding จะเป็นเช่นใด ไม่ว่าสายสัญญาณทั้งสองเส้นจะถูกนำมาใช้เพื่อการรับส่งข้อมูลแบบ Full Duplex (การรับส่งข้อมูลแบบสวนทางกันไปกลับระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง) ก็ตาม หรือพิสัยของคลื่นความถี่จะถูกแบ่ง Upstream หรือ Downstream Bandwidth (ระบบ FDM แบบง่าย) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะต้องใช้ Echo Cancellation ก็ตาม (Echo Cancellation เป็นการขจัดความเป็นไปได้ของสัญญาณในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่เป็นสัญญาณของผู้พูด จะเกิดการสะท้อนกลับมาที่ผู้พูดเองเหมือนท่านที่พูดโทรศัพท์มือถือจะได้ยินเสียงพูดของตนเอง)
ภายใต้เครือข่าย ADSL นี้ ระบบ FDM กับ Echo Cancellation สามารถทำงานร่วมกันแบบผสมผสานกันได้ (เหตุผลที่ต้องใช้ระบบ FDM ก็เนื่องจากใช้เพื่อแยกช่องสัญญาณ จากนั้นก็ทำการสลับสัญญาณ ซึ่งเหตุที่ต้องสลับสัญญาณก็เนื่องจากใช้งาน สายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน) ในหลายกรณี มาตรฐาน ANSI ภายใต้เอกสาร T.413 ได้กำหนดให้ ADSL ใช้ Line Coding แบบเทคโนโลยี DMT และมีการเลือกใช้ FDM หรือ Echo Cancellation อย่างใดอย่างหนึ่งแทนที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อที่ให้ได้การทำงานแบบ Full Duplex
FDM เป็นวิธีการที่ง่ายต่อการใช้งาน ส่วน Echo Cancellation นั้น อาจเกิดปัญหา Near End Cross Talk (สัญญาณรบกวนที่อยู่ปลายด้านหนึ่งของสายสัญญาณ โดยอยู่ด้านตรงข้ามของผู้ส่ง)
FDM สามารถหลีกเลี่ยงปัญหา Near End Cross Talk ได้ โดยการทำให้เครื่องรับเพิกเฉยต่อย่านความถี่ที่เครื่องส่งได้ส่ง Near End Cross Talk ออกมา ซึ่งก็แน่นอนที่ FDM สามารถตัดทอนจำนวนของ Bandwidth ที่มีอยู่ในแต่ละทิศทาง เมื่อเป็นเช่นนี้ Echo Cancellation สามารถใช้ประโยชน์ของ Bandwidth ได้อย่างเต็มที่ แต่จะมีความซับซ้อนในการทำงานมากกว่า นอกจากนี้ Echo Cancellation สามารถใช้ความถี่ต่ำได้มากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด

สรุปส่วนประกอบของระบบ ADSL
ADSL มีส่วนประกอบที่ใช้ทำงานดังต่อไปนี้
• ADSL Transceiver Unit Central Office (ATU-C) เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งในศูนย์ให้บริการ ADSL ใช้เพื่อรับส่งข้อมูลระหว่าง ผู้ใช้บริการผ่านศูนย์ อุปกรณ์นี้ อาจเป็น Splitter ที่เชื่อมต่อเข้ากับ DSLAM
• ADSL Transceiver Unit Remote Office (ATU-R) หรือที่เรียกว่า ADSL Modem
• Splitter - เป็น Filter แบบ Low Pass Filter เพื่อใช้แยกสัญญาณ POT (Plain Old Telephone - ระบบโทรศัพท์ทั่วไป) จาก ADSL
• Digital Subscriber Line Access Multiplexer (DSLAM) - สามารถทำการ Multiplex สัญญาณที่เข้ามาทางสายทองแดง เข้าเป็น 1 ATM Mode Fiber รวมทั้งยังมี ATU-C ใน Frame เดียวกัน (ดูรูปที่ 10)


รูปที่ 10 แสดง ADSL Loop Architecture

รู้จักกับ Line Code ของ ADSL
ADSL ใช้ Line Code 2 แบบ ซึ่ง Line Code ในที่นี้ หมายถึง การกำหนดวิธีการส่งข้อมูล Bit 0 กับ Bit 1 บนสายสัญญาณ หากไม่ใช้ Line Code การส่งข้อมูลบนสายสัญญาณจะเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่ง ADSL มี Line Code อยู่ 2 แบบ ได้แก่ DMT กับ CAP (ท่านที่ซื้อ ADSL Modem จะเห็นประเภทของ Line Code กำกับอยู่ข้างกล่องเสมอ
CAP (Carrierless Amplitude/Phase Modulation)
Phase Modulation เสียก่อน ซึ่งหลักการผสมสัญญาณของ QAM มีดังนี้
QAM เป็นการผสมสัญญาณที่ใช้ทั้งการเปลี่ยนเฟส และขนาดของสัญญาณควบคู่กันไป เป็นเทคนิคสำหรับใช้กับ Modem ความเร็วสูง ซึ่งถ้าใช้การเปลี่ยนเฟสเพียงอย่างเดียว มุมที่เปลี่ยนแปลงจะมีค่าน้อยเกินไปจะทำให้วงจรเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย แต่ถ้าเราใช้การเปลี่ยนเฟส และขนาดของสัญญาณประกอบเข้าด้วยกัน ก็จะช่วยให้วงจรฝ่ายผู้รับสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสัญญาณของข้อมูลค่าต่างๆกันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งปกติที่มีใช้กันอยู่จะมีเฟสต่างกัน 8 เฟส และขนาดของสัญญาณต่างกัน 4 ระดับ ใช้แทนข้อมูล 16 สถานะ ซึ่งในหนึ่งลูกคลื่นจะสามารถส่งข้อมูลได้คราวละ 4 บิต
การผสมสัญญาณของ QAM บางแบบจะใช้เฟส ต่างไปจากนี้ เช่นใช้เฟสต่างกัน 12 เฟส และขนาดของสัญญาณ 3 ระดับ หรืออาจใช้เฟสต่างกัน 8 เฟส และขนาดของสัญญาณต่างกัน 2 ระดับก็ได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบ แต่ว่าในมาตรฐานเดียวกัน Modem จะต้องใช้การแบ่งเฟส และระดับสัญญาณเท่ากันเสมอ และความเร็วในการรับส่งข้อมูลของ QAM อยู่ที่ 9600 บิตต่อวินาที โดยใช้ความถี่พาหะ 2400 Hz และในหนึ่งลูกคลื่นจะแทนข้อมูลได้คราวละ 4 บิต
CAP ใช้วิธีการเดียวกับ QAM คือมีการใช้ ระบบ การผสมสัญญาณเชิง Amplitude แบบหลายระดับ (Multi-Level Amplitude Modulation ( 1 Pulse จะมีค่าระดับแรงดันหลายระดับ) กับ Phase Modulation
CAP จะแบ่งสายโทรศัพท์ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ส่วนของการส่งสัญญาณเสียง ส่วนของการส่งข้อมูลแบบ Upstream และส่วนของการส่งข้อมูลแบบ Downstream ทำให้สายโทรศัพท์เพียงเส้นเดียวสามารถ รับส่งสัญญาณเสียงและข้อมูลได้ในเวลาเดียวกันได้
CAP มีการใช้ Bandwidth ทั้งหมดของ Local Loop (ยกเว้นสัญญาณ Analog ขนาด 4Khz) ความแตกต่างระหว่าง CAP กับ QAM อยู่ที่การนำมาใช้งาน โดยที่ QAM นั้นมีการรวมเอาสัญญาณ Analog 2 สัญญาณ เข้าด้วยกัน เนื่องจากว่า สัญญาณคลื่นพา (Carrier) ไม่ใช่สัญญาณที่ใช้นำพาข้อมูล ดังนั้นการประยุกต์ใช้งาน CAP ก็ใช่ว่าจะมีการนำส่งข้อมูลไปเสียทั้งหมด การผสมสัญญาณในระบบ CAP เป็นการผสมสัญญาณในระบบ ดิจิตอล โดยใช้ ตัวกรองสัญญาณหรือ Filter แบบ ดิจิตอล 2 ชุด ที่มีลักษณะและขนาดของ Amplitude ที่เท่ากัน แต่ต่างกันที่ การตอบสนองทางเฟส (ซึ่ง Filter แบบนี้รู้จักกันในนามของ Hibert Pair)
Modem ที่มีการผสมสัญญาณ (Modulation) แบบ CAP สามารถยอมรับ การสื่อสารข้อมูลในระบบ ATM หรือแบบ Packet รวมทั้ง การรับส่งข้อมูลแบบ Synchronous Bit ได้อีกด้วย
CAP ได้นิยามมาตรฐานการทำงานของการสื่อสารข้อมูล 2 แบบๆแรก ได้แก่ Class A ซึ่งสามารถขนถ่ายข้อมูลแบบ Packet หรือเป็นแบบ เซลล์ (Cell) ได้ ซึ่งช่องสัญญาณนี้ไม่ค่อยอ่อนไหวในเรื่องของ Delay มากนัก ส่วนแบบที่ 2 เรียกว่า Class B Service ซึ่งเป็นช่องสัญญาณที่ใช้ขนถ่ายข้อมูลที่ค่อนข้างเปราะบางต่อปัญหา Delay โดยช่องสัญญาณนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อขนถ่ายข้อมูลแบบ Bit Synchronous ตัวอย่าง เช่น สัญญาณ ISDN ที่ความเร็ว 160 kbps เป็นต้น ซึ่ง Class B นี้จะกำหนดให้ระบบ FEC (Forward Error Correction) เป็นเพียง Option เท่านั้น และช่องสัญญาณข้อมูลทั้งสองเมื่อรวมเข้ากับ EOC หรือ Embedded Operations Channel (EOC มีไว้เพื่อการเฝ้าดูและหาจุดเสียปัญหาของ ADSL Modem) แล้ว จากนั้นก็ป้อนเข้าสู่ ADSL Modem ดังรูปที่ 11


รูปที่ 11 แสดงชนิดของข้อมูลที่สามารถใช้กับการผสมสัญญาณแบบ CAP

คุณประโยชน์ ที่เหนือกว่า QAM ตรงที่ CAP เป็นระบบ ดิจิตอล แทนที่จะเป็นการผสมสัญญาณแบบ Analog (เหมือนอย่าง QAM) ผลก็คือการประหยัดค่าใช้จ่าย
CAP ให้คุณประโยชน์ดังนี้
• เป็นเทคโนโลยีเก่าที่วิวัฒนาการมาจาก V.34 Modem เนื่องจาก CAP ทำงานบนพื้นฐานโดยตรงของ QAM จึงเป็นเทคโนโลยีที่เข้าใจง่าย และเนื่องจากไม่ต้องใช้ช่องสัญญาณย่อย ดังนั้นจึงใช้งานเรียบง่ายกว่าระบบ DMT
• Modem ที่เป็นระบบ CAP สามารถรองรับ ATM Cell หรือ Traffic แบบ Bit Synchronization
• Traffic ที่ทำงานในระบบ CAP มีอยู่ 2 แบบได้แก่การให้บริการใน Class A ที่สามารถขนถ่ายสัมภาระอันเป็นข้อมูลประเภท Packet หรือในรูปแบบของ Cell ซึ่งช่องทางของสัญญาณเหล่านี้ ไม่ค่อยจะอ่อนไหวกับปัญหา Delay เท่าใดนัก ประการที่ 2 ได้แก่ การให้บริการ Class B ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานบน ช่องสัญญาณที่อ่อนไหวต่อปัญหา Delay ซึ่งช่องสัญญาณนี้จะถูกนำมาใช้กับการรับส่งข้อมูลในรูปแบบ Bit Synchronous (การรับส่งข้อมูลที่มีการควบคุมจังหวะการเคลื่อนที่ของบิต)

หลักการทำงานของ DMT
สำหรับระบบ DMT นั้น สายทองแดงคู่จะสามารถรองรับ Bandwidth ขนาด 1 MHz ที่อาจถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 สำหรับช่องสัญญาณเสียง กับอีกส่วนหนึ่งสำหรับเป็นช่องสัญญาณข้อมูล ซึ่งในที่นี้ DMT ได้กำหนดให้มีมากถึง 256 ช่องสัญญาณ

เมื่อใดที่เราใช้โทรศัพท์ เสียงจะถูกส่งผ่านไปทางช่องสัญญาณเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่า 4 kHz ขณะที่ ADSL จะใช้ช่วงสัญญาณที่สูงกว่า ทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์สามารถอยู่แยกออกต่างหาก จากข้อมูลเสียง
ข้อมูลที่ส่งจากคอมพิวเตอร์ ไปยัง อินเทอร์เน็ต จะใช้ช่องสัญญาณหลายๆช่องสัญญาณรวมกัน เพื่อให้ได้อัตราการรับส่งข้อมูลที่ดีที่สุด ขณะที่สัญญาณที่ส่งมาจากอินเทอร์เน็ตไปยังคอมพิวเตอร์ จะใช้ช่องสัญญาณอีกกลุ่ม ทำให้สามารถคุยโทรศัพท์ในขณะที่ยังสามารถ Download Files ได้โดยไม่ทำให้อัตราความเร็วของการ Download นั้นลดลงแต่อย่างใด
แนวคิดพื้นฐานของ ได้แก่การแยก Bandwidth ที่มีอยู่ให้เป็นช่องสัญญาณย่อยๆเป็นจำนวนมาก และสามารถทำงานได้โดยไม่กวนกัน ดังนั้น ในแต่ละช่องสัญญาณย่อย สามารถมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด และถ้าหากว่าช่องสัญญาณย่อยใด ไม่มีการส่งข้อมูลใดๆ ก็สามารถปิดทิ้งเมื่อใดก็ได้

ADSL Modem ที่ทำงานบนพื้นฐานของ DMT เราสามารถมองเป็นว่า ภายในประกอบไปด้วย Modem ขนาดจิ๋วจำนวน 256 ตัว แต่ละตัวมีความถี่ช่องสัญญาณที่ 4 KHz ซึ่งทำงานพร้อมกันในเวลาเดียว โดยระบบ DMT จะใช้คลื่นพาหลายตัวที่สร้าง ช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้ จะเป็นผู้นำพาข้อมูลข่าวสารที่มีขนาดคิดเป็น เศษเสี้ยวของข้อมูลข่าวสารทั้งหมด ช่องสัญญาณเหล่านี้ จะมีการผสมสัญญาณเองโดยอิสระ ด้วยความถี่ที่ใช้ผสมสัญญาณ ซึ่งสอดคล้องกับ ความถี่กลางของช่องสัญญาณย่อยๆ โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้เป็นแบบขนานกัน

ช่องสัญญาณย่อยแต่ละช่องนี้ จะทำการผสมสัญญาณโดยใช้วิธีการแบบ QAM และสามารถนำพาข้อมูล 0-15 บิต ต่อ 1 สัญญาลักษณ์ ต่อ 1 Hz โดยจำนวนของบิตที่สามารถขนส่งได้อย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับลักษณะพิเศษของสายสัญญาณ และบางช่องสัญญาณย่อยอาจสามารถถูกละทิ้ง หากมีสัญญาณรบกวนเกิดขึ้นจากภายนอก ตัวอย่างเช่นสถานีวิทยุ AM อาจสร้างสัญญาณรบกวนเกิดขึ้นที่บางช่องสัญญาณย่อย ทำให้ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น (ดูรูปที่ 12)


รูปที่ 12 แสดงขนาด Bandwidth โดยทฤษฎีสำหรับ DMT เมื่อ ทำงานที่ Upstream คือ 25 ช่องสัญญาณ คูณด้วย 15

บิต ต่อ 1 สัญญาลักษณ์ ต่อ 1 Hz ต่อ 1 ช่องสัญญาณ คูณด้วย 4KHz = 1.5 Mbps
ขนาด Bandwidth ในทางทฤษฎีสำหรับ Downstream คือ 249 ช่องสัญญาณคูณด้วย 15 บิต ต่อหนึ่งสัญญาลักษณ์ ต่อหนึ่ง Hz ต่อ 1 ช่องสัญญาณคูณด้วย 4

ข้อดีของการใช้ Line Code แบบ DMT ได้แก่
• การวิวัฒนาการมาจาก เทคโนโลยีของ Modem V.34 ซึ่งเทคโนโลยี Modem แบบนี้ มีข้อดีตรงที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เต็มที่ เนื่องจากสามารถพิชิตปัญหาสัญญาณรบกวน
• DMT Modem ใช้ เทคนิคการผสมสัญญาณแบบ QAM สำหรับช่องสัญญาณย่อยที่มีอยู่ รวมทั้ง Echo Cancellation การใช้ Trellis Coding แบบทวีมิติ
• ประสิทธิภาพ DMT สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Modem เนื่องจาก ช่องสัญญาณย่อยๆต่างๆที่มีอยู่ สามารถจัดการกันเองได้โดยอิสระ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสายสัญญาณ DMT มีการตรวจวัด ค่า S/N Ratio ของแต่ละช่องสัญญาณย่อยเหล่านี้โดยอิสระ จากนั้นก็จะ มอบหมาย จำนวนของบิตข้อมูลให้กับช่องสัญญาณย่อยๆที่เห็นว่าขณะนั้น มีสัญญาณรบกวนน้อย โดยช่องที่มีสัญญาณรบกวนน้อยที่สุด จะได้บิตข้อมูลเพื่อใช้ในการส่งมากที่สุด

การใช้งาน CAP และ DMT
แม้ว่าวิธีการเข้ารหัสทั้งสองแบบต่างก็มีข้อดีด้วยกันทั้งคู่ก็จริง แต่ความสำเร็จหรือล้มเหลวของหลักการทั้งสอง อยู่ที่การนำไปใช้งานจริง ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวดังกล่าว อยู่ที่ ขนาดและจำนวนของประชากรผู้ใช้ รวมทั้งระยะทางและ Bandwidth เลขที่สวยหรู(ที่เป็นไปได้) คือความเร็ว Downstream ขนาด 8 Mbps โดยมี 1 Mbps เป็น Upstream ซึ่งเป็นอัตราความเร็วสูงสุด ขณะที่ ผู้ให้บริการ ADSL ในปัจจุบัน สามารถให้บริการที่ความ เร็วตั้งแต่ 128 Kbps ไปจนถึง 7 Mbps ต่อไปนี้ เป็นตารางเปรียบเทียบ การทำงานของ CAP และ DMT รวมทั้ง G.lite

การติดตั้ง
ADSL สามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ CO ที่ติดตั้งระบบที่เรียกว่า DSLAM (Digital Subscriber Line Access Multipkeser)แล้วเท่านั้นและ CO นั้นก็คงจะมีเฉพาะตัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น

ฮาร์ดแวร์ที่ใช้
- ต้องมีพีซี
- การ์ดเน็ตเวิร์กอินเตอร์เฟซ NIC
- สายโทรศัพท์
- โมเดม DSL

ปัญหาและข้อระวัง
1. ไม่ใช่ทุกบริษัทที่รับประกันว่าให้บริการตลอดเวลา
2. ปัญหาสัญญาณอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะหากมีผู้ใช้ อินเตอร์เน็ตพร้อมกันความล่าช้าก็อาจจะมีเกิดขึ้นของ
สัญญาณได้
3. โมเดม DSL บางตัวอาจไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการรบกวน จากพลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวอื่นได้ ดังนั้นไม่ ควรใช้สายไฟฟ้าร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ

OVERCLOCK

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการ โอเวอร์คล็อก
โอเวอร์คล็อกคืออะไร นี่อาจจะเป็นคำถามสำหรับมือใหม่ ผมจะกล่าวถึงการ "โอเวอร์คล็อก" ให้ฟังอย่างง่าย ๆ ครับว่า ผลของมันจะทำให้เครื่องของเราเร็วขึ้น แรงขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แค่นี้ก็ชักจะสนใจกันแล้วใช้ไหมล่ะ ผมว่าเรามาทำความรู้จักกับการโอเวอร็คล็อกให้มากกว่านี้กันดีมั้ยครับ
เคยมีคนสงสัยว่า การโอเวอร์คล็อกนั้นจะทำให้เครื่องของเรา เร็วขึ้น แรงขึ้น ได้อย่างไร คำตอบก็คือ มันเป็นการเพิ่มความเร็วให้กันซีพียู โดยการปรับแต่งความเร็วของระบบบัสภายใน หรือการปรับเปลี่ยนความถี่ของซีพียูให้มีค่าเปลี่ยนไปจากเดิมที่ใช้กันอยู่ อย่างเช่นปกติเราใช้ซีพียูความเร็ว 1000 เมกะเฮิรตซ์ และเมื่อเรานำมาโอเวอร์คล็อกแล้ว ซีพียูของเราจะมีความเร็วเพิ่มจาก 1000 เมกะเฮิรตซ์ ไปเป็น 1300 เมกะเฮิรตซ์ อาจจะมากหรือน้อยกว่าก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องซื้อซีพียูตัวใหม่ และเสียเงินเสียทองในการโอเวอร์คล็อกแต่อย่างใด แต่เมื่อจะเริ่มโอเวอร์คล็อกเรามารู้หลักการและคำศัพท์กันก่อนนะครับ

คำศัพท์ที่ต้องรู้จักก่อนการโอเวอร์คล็อก
Front Side BUS
เรียกกันสั้น ๆ ว่า FSB หรือบัสก็ได้ ซึ่งหมายถึง เส้นทางการส่งข้อมูลของลายวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่ง FSB นั้น จะส่งข้อมูลและทำงานไปพร้อมๆ กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ซีพียู หน่อยความจำ และสล็อตต่างๆ บนเมนบอร์ด อย่างเช่นสล็อต AGP , PCI ซึ่ง FSB สัญญาณนาฬิการที่เราเรียกกันว่าความถี่ ที่อุปกรณ์แตะละตัวก็จะมีแตกต่างกันออกไป ซึ่ง FSB จะเป็นตัวควบคุมจังหวะการทำงาน ว่าจะรับหรือจะส่งจังหวะเร็วก็ส่งเร็วเมื่อจังหวะช้าก็ส่งช้า เป็นต้น

Multiplier (ตัวคูณ)
ซีพียูทุกตัวทั้งซีพีจากค่าย lnter หรือ AMD ต่างก็มีตัวคูณอยู่ในตัวซีพียูอยู่แล้วซึ่งซีพียูแต่ละตัวจะมีตัวคูณที่ไม่เท่ากันเช่น AMD Athlon XP 2500+ ใช้ตัวคูณ 11.0xและใช้ FSB 166 เมกะเฮิรตซ์(11x166=1826 เมกะเฮริตซ์) แต่ละส่วน AMD Athlon64 3200+ ใช้ตัวคูณ 10.0x แต่ใช้ FSB 200 เมกะเฮิรตซ์ (10x200=2000 เมกะเฮริตซ์) จะเห็นว่าซีพียูแต่ละตัวก็ใช้ FSB ที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกันครับ แต่ในทางโอเวอร์คล็อกซีพียู บางตัวเปลี่ยนค่าตัวคูณได้ ( AMD) และซีพียู บางตัวก็เปลี่ยนคูณไม่ได้ (lntel) ซึ่งการเพิ่มตัวคูณนั้นจะไม่มีผลการทบต่ออุปกรณ์รอบข้างแต่อย่างใด แต่นั้น อย่าไปสับสนกับ FSB นะครับ

Vcore
หมายถึงไฟที่ใช้เลี้ยงซีพียูและแน่นอนครับว่าเราสามารถที่จะเพิ่มไฟเลี้ยงให้กับซีพียูได้ ซึ่งซีพียูทุกตัวต่างก็มีไฟเลี้ยงในตัวเอง และใช้ไฟเลี้ยงที่แตกต่างกันออกไปอีก เช่น lntel Celeron D Processor 330 2.66 กิกะเฮิรตซ์ ใช้ไฟเลี้ยง 1.4 โวลต์ และ AMD Atlon64 FX-53 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ใช้ไฟเลี้ยง 1.6 โวลต์ แต่ในทางเทคนิคของการ โอเวอร์คล็อกนั้น การที่เราเพิ่มไฟเลี้ยงให้กับซีพียูสูงๆ จะทำให้สามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงๆ ด้วนเช่นเดียวกัน เพราะซีพียูทำงานหนักขึ้น ก็ต้องใช้พลังงานที่มากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการระบายความร้อนให้กับซีพียูอีกด้วยส่วนผลเสียก็คือเมื่อเราเพิ่ม Vcore มากจนเกินไป แล้วเราไม่ได้ความคุมระบบระบายความบนตัวซีพียูให้ดี ซีพียูของคุณอาจจะไหม้ หรือลาโลกไปเลยก็เป็นได้


Vmem, VDD
เป็นไฟเลี้ยงที่ป้อนให้กับหน่วยการความจำ ซึ่งหน่วยความจำ DDR1 ทั่วนั้นจะมีกำลังไฟเลี้ยงที่ 1.6 โวลต์ แต่ถ้าเป็นDDR2 ก็จะมีไฟเลี้ยง 1.4 โวลต์ หลักในการเพิ่มไฟเลี้ยงก็จะคล้ายคลึงกับ Vcore ยิ่งไฟเลี้ยงเยอะเท่าไรก็จะทำให้เราโอเวอร์คล็อกแรมที่ความถี่สูง ๆ เยอะเท่านั้น ทั้งนี้ก็อยู่อยู่กับคุณภาพของแรมด้วยว่าจะรับความถี่สูง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด อีกอย่าก็คือการระบายความที่ดีด้วย

VIO
นี่คือไฟเลี้ยงที่ป้อให้กับซิปเซต ซึ่งส่วนมากแล้วเมนบอร์ดที่สามารถปรับแต่งค่านี้ได้จะเป็นเมนบอร์ดที่ออกแบบมาสำหรับการโอเวอร์คล็อกจริงๆ อย่างเช่นเมนบอร์ดจาก ABIT,DFI,MSI,และ ASUS เป็นต้น ซึ่งสามารถปรับ VIO ให้กับซิพเซ็ตได้อีกด้วย

Cas latency
เรียกกันสั้นๆ ว่า CL หรือ Timing ก็ได้ครับ คืออัตราการรีเฟรซข้อมูลของแรมในหนึ่งลูกคลื่น ซึ่งการรีเฟรชข้อมูลในหน่วยความจำบ่อย ๆ หรือ CL น้อย ๆ จะทำให้แรมทำงานได้เร็ว เนื่องจากใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลสั้นลง ซึ่งค่า CL นั้นจะเป็นตัวเลขที่ต่อท้าย 4 ตัวของแรม เช่น แรมยี่ห้อ Corsair DDR XMS 512 MB PC3200 2-7-3-3 จะเป็นค่าของเวลาที่แรมจะทำการหน่วงข้อมูลแล้วส่งต่อไปยัง Chipset และ Chipset ก็จะประมวลผลอีกที (ถ้าค่า CL ยิ่งต่ำเท่าไรแรมก็จะส่งข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น)

AGP/PCI
หมายถึง ความเร็วของการ์ดแสดงผลที่เป็นอินเทอร็เฟช AGP ที่มีความเร็ว 66 เมกะเฮิรตซ์ และความเร็วของอุปกรณ์ PCL ที่มีความเร็ว 33 เมกะเฮิรตซ์ ค่า 2 ค่านี้จะเปลี่ยนตาม FSB ซึ่งหากเมนบอร์ดปรับอัตราทดได้แล้วนั้น ค่า AGP/PCI จะทำงานที่ความเร็วดังในตาราที่แสดงอยู่ แต่เมนบอร์ดบางรุ่นสามารถที่จะกำหนดความถี่ให้กับความเร็วของ AGP/PCI เมื่อเราปรับ FSB ให้สูงขึ้น


การโอเวอร์คล็อกสามารถแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ
1. โอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB อย่างเดียว
แบบนี้เป็นการเพิ่มความถี่ของ FSB ให้มากขึ้น แล้วความเร็วของซีพียูจะเปลี่ยนไปตามค่าความถี่ที่เราเปลี่ยนไป จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวคูณของซีพียูนั้นจะมีมานชกน้อยเพียงใด เช่น ปกติซีพียูทำงานที่ความเร็ว 1000 เมกะเฮิรตซ์ หรือ 10x100= 1000 เมกะเฮิรตซ์ จากนั้นเมื่อทำการเปลี่ยนตาม คือ 10x133=1330 เมกะเฮิรตซ์ นั่นเอง โดยเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ทุกวันนี้จะกำหนดค่าของ FSB ได้ ซึ่งค่า FSB ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็วอื่น ๆ (ค่าความถี่ของอุปกรณ์อื่นๆไม่สูงตาม FSB) นั้นก็คือ FSB133,166 และ 200เมกะเฮิรตซ์ กล่าวคือ ถ้าเราใช้งานที่ FSB ดังกล่าวแล้ว AGP/PCI จะทำงานปกติที่ 66/33 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งไม่มีผลเสียใด ๆ
• ผลเสียของการโอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB
คือจะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ ทำงานผิดไปจากเดิม เนื่องจาก FSB ของระบบเปลี่ยนไป เนื่องจากอุปกรณ์ทุกอย่างเสียบลงบนเมนบอร์ด แล้ว FSB ของระบบเปลี่ยนไปอุปกรณ์อื่นๆ ก็ต้องทำงานแล้ว หรือช้าตาม FSB นั้นตามไปด้วย แต่ปัญหานี้แก้ได้ไม่ยากครับ ถ้าเมนบอร์ดของท่านปรับอัตราทด AGP/PCI ได้ หรือกำหนดค่าได้นั้น ก็จะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วเดิมแม้ FSB จะเปลี่ยนไปตามก็ตาม

2. การโอเวอร์คล็อกแบบปรับตัวคูณอย่างเดียว
เป็นวิธีที่บ่ายที่สุดแต่สามารถทำได้กับซีพียูจากค่าย AMD เท่านั้นยกตัวอย่างเช่น ปกติเรามีความเร็วซีพียูที่ 1000 เมกะเฮิรตซ์
(10x100=1000 เมกะเฮิรตซ์) จากนั้นเราทำการปรับตัวคูณ CPU จาก 10 เป็น 12 เราก็จะได้ความเร็ว CPU ใหม่เป็น 12x100=1200 เมกะเฮิรตซ์ นั้นเอง หรืออาจจะปรับขึ้นไปพร้อม ๆ กับการเพิ่ม Vcore ก็ได้ครับ แต่จะขอให้ค่อย ๆ ปรับขึ้นไปทีละขั้นๆ ไป อย่าใจร้อนปรับแบบก้าวกระโดด
• ผลเสียของการโอเวอร์คล็อกแบบปรับตัวคูณ
จะทำให้ CPU เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ระบบโดยรวม หรือความถี่ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วเท่าเดิม

3. โอเวร์คล็อกแบบปรับ FSB และ ตัวคูณ ไปพร้อมๆ กัน
การโอเวอร์คล็อกด้วยวิธีนี้ ถือว่าเป็นการโอเวอร์คล็อกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ทั้งความเสถียรของระบบและความเร็ว เพราะจะทำให้ระบบโดยรวมทำงานได้เร็วสูสีกันไป ไม่ใช่ว่าเร็วเฉพาะซีพียูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การระบายความร้อนก็มีผลต่อการโอเวอร์คล็อก
พูดถึงความร้อนของอุปกรณ์ภายในเครื่องให้ไฟฟ้าภายในบ้านก็มีทั้งนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น แต่คอมพิวเตอร์นี่สิปกติก็มีความร้อนออกมาอยู่แล้ว ยิ่งถ้าโอเวอร์คล็อกแบบอัด Vcore,Vmem เพิ่มไฟต่างๆ แล้วละก็ ความร้อนมีผลอย่างมากในการที่เราจะโอเวอร์คล็อก ดังนั้นเราควรดูแลและความคุมอุณหหภูมิมิให้อยู่ในระดับที่ไม่อันตรายจะเกินไป ซึ่งอุณหภูมิดังกล่าวจะไม่เกิน 60 องศา นี่เป็นอุณหภูมิที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อตัวซีพียู แต่ถ้าโอเวอร์คล็อกแล้วละก็สมควรอย่างยิ่งที่จะควบคุมให้อุณหภูมิไม่ถึง 40-50 องศา ทั้งนี้ก็เพื่อความเสถียรในการทำงานครับ


ปัจจัยที่มีผลต่อการโอเวอร์คล็อกที่ต้องรู้ไว้
เวลาโอเวอร์คล็อกขอให้ค่อยๆ ปรับขึ้นไปเป็นระดับขั้น อย่าใจร้อนและปรับแบบก้าวกระโดด
• ซีพียูทุกตัวจะสามารถโอเวอร์คล็อกขึ้นไปได้ไม่เท่ากันแม้ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันก็ตาม การระบายความร้อนที่ดี ส่งผลให้ระบบและซีพียูเย็นตามกันไปด้วย และจะสามารถโอเวอร์คล็อกไปที่ความเร็วสูงๆได้โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติ
• เมนบอร์ดที่ดีจะมีฟังก์ชันในการโอเวอร์คล็อกที่ครบครันสามารถปรับและกำหนดค่าต่างๆ ได้ทั้งหมด
• Vcore ยิ่งเพิ่มมากยิ่งโอเวอร์คล็อกไปได้มากเช่นเดียงกัน
• หน่วยความจำ (RAM) ที่ดีต้องรับกับความถี่และ FSB สูงๆ ได้และมีค่า Timing ต่ำๆ
• ปัจจัยอื่นๆ เช่นอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่อง ต้องรู้ว่ารับกับความถี่สูงๆ ได้ไหมและดูองค์ประกอบโดยรวมไปถึงระบบระบายความร้อนให้ซิปต่างๆ บนเมนบอร์ด Vmem,VIO และอุณหภูมิของห้อง


ผลเสียของการ Overclock

• ทำให้ซีพียูทำงานหนักขึ้น เนื่องจากเกินจากสเปกเดิมที่ทางรงงานได้ผลิตมา ส่งผลให้ซีพียูมีอายุในการทำงานที่สั้นลงประมาณ 10% แต่อย่าลืมว่าซีพียูในปัจจกุบันออกมากันอย่างรวดเร็วจะเสียดายไปทำไมล่ะครับ (หมายความว่ายังไงก็ตกรุ่นเร็วอยู่แล้ว ก่อนทิ้งไปใช้ของใหม่ก็เอาตัวเก่ามาซ้อมมือก็ได้)
• อุปกรณ์โดยรวมที่เราได้โอเวอร์คล็อกแบบปรับ FSB ขึ้นไป ก็จะส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่เสียบอยู่บนเมนบอร์ดด้วย อาจเกิดปัญหาในการทำงานได้ แต่ถ้ารู้ว่าจุดไหนบ้างที่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะรับมือได้อย่างสบาย
• อุปกรณ์ที่จะนำมาร่วมโอเวอร์คล็อกให้ได้ประสิทธิภาพ มีราคาที่แพงกว่าปรกติอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นธรรมดาครับ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น บอกได้เลยว่าเกินคุ้ม
• ต้องคอยดูแลและตรวจเช็คระบบอย่างสม่ำเสมอ ว่าอุปกรณ์แต่ละตัวยังทำงานปกติหรือไม่ ๆ
เมื่อเราทราบถึงหลักการของการโอเวอร์คล็อกกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถโอเวอร์คล็อกซีพียูได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เท่าที่เมนบอร์ดของแต่ละตัวที่ใช้จะสนับสนุนให้ปรับแต่งได้มากน้อยเพียงใด และการโอเวอร์คล็อกก็ไม่ได้หยุดแต่ตัวซีพียูนั้น การ์ดแสดงผลก็ยังสามารถที่จะโอเวอร์คล็อกขึ้นไปได้อีกด้วย

ปรับแต่งตัวคูณซีพียูเพื่อเพิ่มความเร็ว
การที่จะทำให้ความเร็วซีพียูของเราวิ่งเร็วเดิมตอนที่เราซื้อออกมาจากร้านนั้น ก็มีวิธีโอเวอร์คล็อกหลากหลายวิธีซึ่งต้องอาศัยความรู้ในเชิงเทคนิคที่สูงระดับหนึ่ง แต่วิธีที่ผมจะนำเสนอก็เป็นวิธีที่ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น
ก่อนอื่นก็ต้องตรวจสอบก่อนครับว่า ซีพียูที่คุณใช้งานอยู่นั้น เป็นซีพียูจากค่ายไหน นั่นก็เพราะซีพียูทุกตัวต่างก็มีตัวคูณอยู่ในตัวเองเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย อย่างซีพียูจากค่าย intel ที่เน้นความปลอดภัย และอายุการใช้งานของซีพียูจะล็อกการปรับค่านี้ไว้ เมื่อเกิดความร้อนสูงเกินไปซีพียูจะหยุดการทำงานจนกว่าความร้อนจะกลับมาเท่าเดิม เพื่อป้องกันความเสียหายครับ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ซีพียูมีปัญหาแฮงก์บ่อยนั่นเอง ด้วยระบบความปลอดภัยนี้อาจยากสำหรับมือใหม่ ดังนั้นในตัวอย่างนี้ผมขอเลือกใช้ซีพียูจากค่าย AMD เพราะง่ายต่อการปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ

1. อย่างแรกเลยก็คือการเข้าไปสู่เมนูที่อยู่ในไบออส (Bios) ที่จะเข้าไปปรับตัวคูณ ซึ่งเมื่อคุณเปิดเครื่องมาก็ให้กดปุ่ม Del ติดๆ กัน (ในเมนบอร์ดบางรุ่นใช้ปุ่ม F1) แค่นี้ก็จะเข้าสู่ไบออสแล้วละ


2. นี่แหละครับหน้าจอไบออสที่เก็บรายละเอียดในการตั้งค่าต่างๆ ของเครื่องเอาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่เมนูในการโอเวอร์คล็อกเท่านั้น เนื่องจากเมนบอร์ดที่ผมใช้เป็นยี่ห้อ Abit ซึ่งมีเมนูสำหรับโอเวอร์คล็อกอยู่แล้วชื่อ SoftMenu Setup เราก็เข้าไปในเมนูนั้นกันเลยครับ ถ้าเป็นเมนบอร์ดยี่ห้ออื่น ๆ ก็จะมีชื่อต่างกันไปครับเช่น Frequency/Voltage Control หรือเมนูอื่น ๆ ที่ชื่อบ่งบอกว่า สามารถปรับแต่งค่าได้



3. เมื่อ Enter เข้ามาในเมนูแล้ว เราจะเห็นได้ว่ามีเมนูต่างๆ ที่เกี่ยงกับการปรับแต่งค่าต่างๆ มากมายจน มึน ไปหมด แต่เมนูที่เราจะสนใจก็มีชื่อว่า Mulitplier Factor ซึ่งตรงนี้จะเก็บค่าตัวคูณเอาไว้ครับ



4. ตอนแรกจะปรับตัวคูณนี้ไม้ได้ ให้ไปเปิดฟังก์ชันที่จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ในการโอเวอร์คล็อกได้ ที่เมนู CPU Operating Speed ครับแล้วเลือก User Define ครับ แค่นี้ก็ไปปรับแต่งกันได้แล้ว



5. เมื่อเราเปิดการทำงานแล้วไบออสก็จะอนุญาตให้เราปรับแต่งตัวในเมนู Multiplier Factor จะพบว่าซีพียูที่ผลใช้นั้นมีตัวคูณอยู่ที่ 11x(1,463เมกะเฮิรตซ์) ดังนั้นผมก็จะปรับขึ้นไปอีกซักนิดเป็น 14x(1,862เมกะเฮิรตซ์)
ข้อควรระวัง:
• ควรเพิ่มทีละระดับ และไม่ควรเพิ่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ซีพียูเสียหายได้
• เมื่อจะโอเวอร์คล็อกอุปกรณ์ทุกชนิดควรหาอุปกรณ์ระบายความร้อนอย่างพัดลมเพิ่มด้วย



6. เมื่อปรับแต่งตัวคูณได้ความต้องการแล้ว ก็ต้องออกจากไบออสเพื่อจะให้เราไปใช้งานกับความเร็วที่ปรับเปลี่ยนเอาไว้โดยกดที่ F10 หรือ Save & Exit ก็ได้จะมีเมนูให้เซฟค่าที่เราตั้งไว้ เราก็ทำการเลือก Y และเครื่องก็จะรีบูตตัวเองในทันทีครับ



7. เมื่อเครื่องบูตเอาระบบมาจะเห็นได้ว่าความเร็วของ CPU เปลี่ยนไปแล้วครับจาก 1,463 เมกะเฮิรตซ์ กลับกลายเป็น 1,866 เมกะเฮิรตซ์ แล้วครับ ง่ายใช่ไหมละ


แก้ปัญหาง่าย ๆ เมื่อโอเวอร์คล็อกแล้วเปิดเครื่องไม่ติด
เมื่อเราโอเวอร์คล็อกไปจนสุดๆ ที่ตัวซีพียูและอุปกรณ์อื่นๆ จะรับไม่ไหวแล้วอาจเกิดอาการเปิดเครื่องแล้วภาพไม่ขึ้นบ้าง แฮงก์บ้าง เอาไวดีละทีนี้แย่แล้วเรา ต้องซื้อเครื่องใหม่หรือยกไปซ่อนดีเนี่ย แต่ช้าก่อนครับอย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไกล ทางออกยังมี
สำหรับมือใหม่หัดคล็อกคงจะประสบปัญหาระหว่างการโอเวอร์คล็อก เมื่อปรับนู่นแต่งนี้จนอุปกรณ์นั้นรับความเร็วที่คุณต้องการไม่ไหว พอเปิดเครื่องมาภาพไม่ขึ้นแต่งนี้หน้าจอซะงั้น ตกอกตกใจกันยกใหญ่ เหตุก็เพราะว่าค่าท่ะรมปรับแต่งไปเมื่อตะกี้มันจะจำอยู่ในไบออสสครับ ดังนั้นเราต้องลบความจำนั้นออกไปโดยการ clear CMOS วิธีการก็ง่ายแสนง่ายใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็เสร็จแล้ว




1. สิ่งแรกผมขอให้ถอดปลั๊กของคอมพิวเตอร์ซะก่อนครับ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด (ไม่ถอดก็ได้นะ) ให้ท่านหาจุด Clear CMOS ของเมนบอร์ดของท่านซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับถ่านแบตเตอรี่ครับ หรือถ้าท่านไม่เจอให้ดูจากคู่มือเมนบอร์ดก็ได้



2. จุดที่มีพลาสติกแดงๆ ครอบไว้อยู่นั่นแหละ เราเรียกว่าดิปสวิตซ์ครับต่ำแหน่งนี้บนแผง PCB ของเมนบอร์ดจะเขียนไว้ว่า 1-2 Clear CMOS และ 2-3 Normal



3. ตอนแรกดิปสวิตซ์ของเราจะอยู่ที่ช่องที่ 2-3 นั่นก็คือ Normal ให้จับย้ายมาที่ช่องที่ 1-2 เลยครับเพื่อ Clear CMOS



4. แค่นี้ค่าต่างๆ ที่เราปรับแต่งไปตั้งแต่ทีแรกก็จะถูกลกออกไปสู่ค่าดั้งเดิมก่อนที่จะโอเวอรคล็อก ง่ายใช่ไหมละครับ อย่าลืมย้ายดิปสวิตซ์มาอยู่ในช่องที่ 2-3 นั่นก็คือ Normal ด้วยนะครับ แค่นี้ก็เรียบร้อย



5. แต่ถ้า Clear CMOS แล้วไม่หายให้ท่านถอดถ่านแบตเตอรี่ทิ้งไว้ประมาณ 1-10 นาทีพร้อม Clear CMOS ทิ้งไว้ด้วยครับ เมื่อเรา Clear CMOS แล้วค่าต่างๆ ที่จำไว้ก็จะหายไปหมด คุณก็ต้องมาตั้งค่าต่างๆ ในไบออสกันใหม่ เท่านี้เราก็สามารถโอเวอร์คล็อกต่อไปได้แล้ว



แก้ปัญหาง่าย ๆ เมื่อโอเวอร์คล็อกแล้วเปิดเครื่องไม่ติด
เมื่อเราโอเวอร์คล็อกไปจนสุดๆ ที่ตัวซีพียูและอุปกรณ์อื่นๆ จะรับไม่ไหวแล้วอาจเกิดอาการเปิดเครื่องแล้วภาพไม่ขึ้นบ้าง แฮงก์บ้าง เอาไวดีละทีนี้แย่แล้วเรา ต้องซื้อเครื่องใหม่หรือยกไปซ่อนดีเนี่ย แต่ช้าก่อนครับอย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไกล ทางออกยังมี
สำหรับมือใหม่หัดคล็อกคงจะประสบปัญหาระหว่างการโอเวอร์คล็อก เมื่อปรับนู่นแต่งนี้จนอุปกรณ์นั้นรับความเร็วที่คุณต้องการไม่ไหว พอเปิดเครื่องมาภาพไม่ขึ้นแต่งนี้หน้าจอซะงั้น ตกอกตกใจกันยกใหญ่ เหตุก็เพราะว่าค่าท่ะรมปรับแต่งไปเมื่อตะกี้มันจะจำอยู่ในไบออสสครับ ดังนั้นเราต้องลบความจำนั้นออกไปโดยการ clear CMOS วิธีการก็ง่ายแสนง่ายใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็เสร็จแล้ว




1. สิ่งแรกผมขอให้ถอดปลั๊กของคอมพิวเตอร์ซะก่อนครับ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด (ไม่ถอดก็ได้นะ) ให้ท่านหาจุด Clear CMOS ของเมนบอร์ดของท่านซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับถ่านแบตเตอรี่ครับ หรือถ้าท่านไม่เจอให้ดูจากคู่มือเมนบอร์ดก็ได้



2. จุดที่มีพลาสติกแดงๆ ครอบไว้อยู่นั่นแหละ เราเรียกว่าดิปสวิตซ์ครับต่ำแหน่งนี้บนแผง PCB ของเมนบอร์ดจะเขียนไว้ว่า 1-2 Clear CMOS และ 2-3 Normal



3. ตอนแรกดิปสวิตซ์ของเราจะอยู่ที่ช่องที่ 2-3 นั่นก็คือ Normal ให้จับย้ายมาที่ช่องที่ 1-2 เลยครับเพื่อ Clear CMOS



4. แค่นี้ค่าต่างๆ ที่เราปรับแต่งไปตั้งแต่ทีแรกก็จะถูกลกออกไปสู่ค่าดั้งเดิมก่อนที่จะโอเวอรคล็อก ง่ายใช่ไหมละครับ อย่าลืมย้ายดิปสวิตซ์มาอยู่ในช่องที่ 2-3 นั่นก็คือ Normal ด้วยนะครับ แค่นี้ก็เรียบร้อย



5. แต่ถ้า Clear CMOS แล้วไม่หายให้ท่านถอดถ่านแบตเตอรี่ทิ้งไว้ประมาณ 1-10 นาทีพร้อม Clear CMOS ทิ้งไว้ด้วยครับ เมื่อเรา Clear CMOS แล้วค่าต่างๆ ที่จำไว้ก็จะหายไปหมด คุณก็ต้องมาตั้งค่าต่างๆ ในไบออสกันใหม่ เท่านี้เราก็สามารถโอเวอร์คล็อกต่อไปได้แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แก้ไขอาการผิดจากไวรัสต่าง ๆ

..เรามาแก้ไขอาการผิดปกติที่ไวรัส หนอน และ มัลแวร์ต่างๆทิ้งไว้ให้เรากัน

เมื่อแก้ปัญหาและลบไวรัสออกไปจากเครื่องทั้งหมดแล้ว ไวรัสหลายๆตัวมักจะหลงเหลืออาการผิดปกติไว้ให้เสมอๆ เช่น เมนู Folder Option หายไป,ใช้ช่อง Run ไม่ได้ และอื่นๆ พอดีผมเจอ Tool ของ Nod32 ตัวนี้มานานแล้วและมันสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เป็นอย่างดีดังนั้นเรามาโหลดเก็บไว้และนำไปใช้งานกันเถอะครับ สามารถดาวโหลด NOD32 Registry Recovery Version 1.1 ได้ที่นี่ครับ [URL=http://www.nod32th.com/component/option,com_docman/task,doc_download/gid,18/Itemid,99999999/lang,en/]กดเพื่อดาวโหลด และคุณยังเลือกดู Tools Fix Worm,Melware อื่นๆของ Nod32 ได้ที่นี่ครับ [URL=http://www.nod32th.com/component/option,com_docman/task,cat_view/gid,67/dir,DESC/order,name/Itemid,99999999/limit,5/limitstart,0/lang,en/]กดเพื่อดู เมื่อดาวโหลดเสร็จแล้วให้กดดับเบิ้ลคลิ๊กเพื่อเริ่มใช้งานครับ 1.เมื่อกดแล้วโปรแกรมจะให้เราเลือกภาษาสำหรับการใช้งานครับ เลือกเอาตามสะดวก
2.อ่านและทำความเข้าใจ License agreement แล้วกดตกลงครับ
3.หน้าต่าง Choose Component จะมี 21 หัวข้อให้คุณเลือกคือ - Kill process wscript หยุดการทำงานของโพรเซส wscript เพื่อหยุดการทำงานของไวรัสประเภทสคริปส์ - Enable Folder Options เปิดการใช้งาน Folder Options - Show Hidden Files แสดงไฟล์ที่ถูกซ่อนไว้ - Show File Extension แสดงนามสกุลของไฟล์ - Enable Run Window เปิดการใช้งานฟังก์ชั่น Run - Enable Search เปิดการใช้งานฟังก์ชั่นการค้นหา - Enable Right-click เปิดการใช้งานเมนูคลิ๊กเม๊าส์ขวา - Enable Registry Editor เปิดการใช้งาน regedit - Enable Task Manager เปิดการใช้งาน Task Manager - Enable Command Prompt เปิดการใช้งาน cmd - Enable Control Panel เปิดการใช้งาน Control Panel - Enable System Restore Tab แสดง Tab System Restore ใน System Properties - Enable Windows Firewall เปิดการใช้งานฟังก์ชั่น Windows Firewall ให้สามารถเปิดหรือปิดตามต้องการได้ เนื่องจากอาจถูกปิดฟังก์ชั่นโดยมัลแวร์ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ - Enable Automatic Updates เปิดการใช้งานอัพเดทวินโดวส์แบบอัตโนมัติ - Enable Security Center เปิดการใช้งานฟังก์ชั่น Security Center - Set Blank Home page ตั้งค่าหน้าหลักของ Internet Browser ให้เป็น blank - Reset IE Window Title ลบข้อมูลบนไตเติ้ลบาร์ของเว็ปเบราเซอร์ - Disable Autorun ปิดการใช้งาน Autorun ของ Windows - Reset Winlogon ตั้งค่าของ Winlogon ใหม่ เนื่องจากอาจมีมัลแวร์บางชนิดเริ่มการใช้การเมื่อเริ่มเข้าใช้งานวินโดวส์ - Remove autorun.inf กำจัดตัว Autorun ทุกๆไดร์ฟออกไป - Scan and Clean with NOD32 ทำการสแกนเครื่องด้วย NOD32 *** คำแนะนำให้เลือกตามที่ใช้ต้องการเท่านั้นครับ เสร็จแล้วให้กดตก
4.รอซักครู่ ให้โปรแกรมทำงานซักครู่นึงครับ
เสร็จแล้วก็ Restart คอมพิวเตอร์หนึ่งครั้งจากนั้นใช้งานได้ตามปกติครับ